วัฒนธรรม การเรียนรู้ พฤติกรรมและบุคลิกภาพ ผ่านงานของ Margaret Mead โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล
Margaret Mead เป็นนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงในการศึกษาเรื่องเพศสภาพ (gender), วัยรุ่น, วัฒนธรรม และบทบาททางสังคมในสังคมพื้นเมืองแปซิฟิก เธอเน้นการศึกษาเกี่ยวกับวิธีที่วัฒนธรรมหล่อหลอมพฤติกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบระหว่างพฤติกรรมทางเพศและพัฒนาการของวัยรุ่นในสังคมต่าง ๆ
งานชิ้นสำคัญของ Margaret Mead ได้แก่
1. หนังสือเรื่อง Coming of Age in Samoa (1928)
งานชิ้นนี้ถือเป็นงานวิจัยชิ้นสำคัญที่ Mead ศึกษาพฤติกรรมและพัฒนาการของวัยรุ่นหญิงในสังคมซามัว (Samoa) เพื่อทำความเข้าใจว่าการเจริญเติบโตและพฤติกรรมวัยรุ่นที่มีปัญหาในสังคมตะวันตกเป็นผลมาจากวัฒนธรรมหรือชีววิทยา Mead สรุปว่าการเจริญเติบโตและปัญหาวัยรุ่นไม่ได้เป็นสิ่งที่สากล แต่เป็นผลมาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เธอชี้ให้เห็นว่าวัยรุ่นในสังคมซามัวไม่มีปัญหาความขัดแย้งทางจิตใจแบบเดียวกับในตะวันตก เนื่องจากสังคมซามัวมีทัศนคติที่เปิดกว้างเรื่องเพศและการเปลี่ยนผ่านวัยของเด็ก
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่สำคัญ Mead อธิบายว่าสาววัยรุ่นในซามัวได้รับการอบรมและเลี้ยงดูอย่างสบาย ๆ โดยไม่ถูกกดดันจากกฎระเบียบทางเพศหรือความคาดหวังที่เข้มงวดเกี่ยวกับอนาคต พวกเธอสามารถมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงานได้อย่างอิสระ และไม่มีความกดดันหรือความรู้สึกผิดเหมือนที่วัยรุ่นในตะวันตกประสบ
2. หนังสือ Sex and Temperament in Three Primitive Societies (1935)
สาระสำคัญในหนังสือเล่มนี้คือ Mead ทำการศึกษาสามกลุ่มชนพื้นเมืองในนิวกีนี (New Guinea) ได้แก่ Arapesh, Mundugumor และ Tchambuli เพื่อตรวจสอบว่าบทบาททางเพศถูกกำหนดโดยชีววิทยาหรือวัฒนธรรม เธอพบว่าบทบาทและอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับเพศเป็นผลมาจากวัฒนธรรมมากกว่าธรรมชาติทางชีววิทยา ตัวอย่างเช่น ในสังคม Arapesh ทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีพฤติกรรมที่สงบเสงี่ยม ในขณะที่ในสังคม Mundugumor ทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว แต่ในสังคม Tchambuli บทบาทของเพศกลับถูกกำหนดอย่างตรงข้ามกับที่พบในสังคมตะวันตก โดยผู้หญิงทำหน้าที่เป็นผู้นำเศรษฐกิจและครอบครัว ส่วนผู้ชายมีพฤติกรรมอ่อนโยนและเน้นเรื่องศิลปะ
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจ พบว่า ในกลุ่ม Arapesh ผู้หญิงและผู้ชายต่างก็มีลักษณะที่สงบและให้ความสำคัญกับการดูแลเด็ก โดยทั้งสองเพศมีบทบาทที่เท่าเทียมกันในการเลี้ยงดูครอบครัว ในทางตรงกันข้าม ในกลุ่ม Tchambuli ผู้หญิงมีบทบาทในการตัดสินใจและเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว ขณะที่ผู้ชายมักเน้นการทำงานเชิงศิลปะและการทำกิจกรรมเพื่อความบันเทิง
3. หนังสือ Male and Female" (1949)
งานชิ้นนี้เป็นการขยายแนวคิดจากงานวิจัยก่อนหน้านี้ของ Mead โดยสำรวจว่าเพศสภาพและบทบาทของผู้ชายและผู้หญิงในสังคมต่าง ๆ มีความแตกต่างกันอย่างไร Mead ชี้ให้เห็นว่าวัฒนธรรมและสังคมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดบทบาททางเพศ เธอเน้นว่าความแตกต่างทางเพศไม่ได้เป็นเพียงผลจากชีววิทยา แต่เป็นการสร้างขึ้นจากกระบวนการทางสังคมและวัฒนธรรม
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในงานชิ้นนี้ Mead อธิบายว่าในหลายสังคมผู้หญิงมีบทบาทสำคัญทั้งในการเลี้ยงลูกและในเชิงเศรษฐกิจ เธอยกตัวอย่างสังคมที่ผู้หญิงมีบทบาททางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ในสังคมพื้นเมืองของนิวกินี ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการผลิตอาหารและการจัดการครัวเรือน ขณะที่ผู้ชายมักจะทำกิจกรรมเชิงพิธีกรรมหรือทางการเมือง
4. หนังสือ Growing Up in New Guinea" (1930)
Mead ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กในชนเผ่า Manus ในนิวกินี โดยสำรวจว่าการเลี้ยงดูเด็กในสังคมดั้งเดิมมีความแตกต่างจากสังคมตะวันตกอย่างไร เธอพบว่าในสังคมชนเผ่า Manus เด็ก ๆ ได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการสนับสนุนและการเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองโดยไม่มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือ Mead พบว่าเด็กในชนเผ่า Manus มีความเป็นอิสระมากกว่าเด็กในสังคมตะวันตก พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยการเรียนรู้ผ่านการทำงานและการเล่นไปพร้อมกัน เด็กเหล่านี้ไม่ถูกควบคุมด้วยกฎระเบียบที่เข้มงวด แต่ได้รับการสนับสนุนให้ค้นพบความสามารถของตนเอง
ในแนวคิดหลักในงานของ Margaret Mead ที่พอประมวลได้คือ
1. บทบาทของวัฒนธรรมในการกำหนดพฤติกรรมมนุษย์ โดย Mead เชื่อว่าวัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพฤติกรรม ความเชื่อ และทัศนคติของบุคคล โดยเฉพาะในเรื่องของเพศสภาพและพัฒนาการของวัยรุ่น เธอชี้ให้เห็นว่าในแต่ละสังคมมีวิธีการอบรมและเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมและการปรับตัวในช่วงวัยรุ่น
2. การเปรียบเทียบข้ามวัฒนธรรม ซึ่ง Mead ใช้วิธีการเปรียบเทียบข้ามวัฒนธรรมเพื่อแสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมทางเพศและพฤติกรรมวัยรุ่นไม่ได้เป็นผลจากชีววิทยาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลมาจากการเลี้ยงดูและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
3. การวิจัยภาคสนาม (Fieldwork) โดย Mead เป็นหนึ่งในนักมานุษยวิทยาที่ใช้วิธีการวิจัยภาคสนามในลักษณะการลงไปใช้ชีวิตร่วมกับชุมชนพื้นเมือง เพื่อศึกษาวิถีชีวิตและพฤติกรรมในสังคมต่าง ๆ อย่างละเอียด
ดังนั้น Margaret Mead มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับเพศและการเลี้ยงดูในศตวรรษที่ 20 งานของเธอเน้นว่าวัฒนธรรมมีอิทธิพลมากกว่าชีววิทยาในการกำหนดพฤติกรรมทางเพศและพัฒนาการของเด็ก
พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ Victor turner ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Arnold Van Gennep ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา (Periodicity) ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ จะทำอะไร จะปลูกอะไร ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.rite of separation หรือขั้นของการแยกตัว ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ (purification rites) เช่น การโกนผม การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย รวมถึงการตัด การสร้างรอยแผลเป็น การขลิบ (scarification or cutting) ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น