ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ของขวัญ การให้ การรับ และการตอบแทนผ่านแนวคิด Macel Mauss โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือ The Gift (1925) ของ Marcel Mauss เป็นหนังสือที่สำคัญในสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ซึ่งวิเคราะห์บทบาทของการให้ของขวัญในสังคมดั้งเดิมและสมัยใหม่ มันสำรวจแนวคิดของการแลกเปลี่ยนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่แสดงให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วการให้ของขวัญนั้นมีความซับซ้อนและเต็มไปด้วยข้อผูกพัน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ในระดับต่างๆ ทั้งส่วนตัวและสังคม ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าคำว่า Gift ที่ใข้ในภาษาอังกฤษ ไม่ได้มีความหมายว่าของขวัญแต่คือ การให้” แปลกว้างครอบคลุมเจตนา ความสัมพันธ์ และโครงสร้างทางสังคมมากกง่าการเป็นวัตถุสิ่งของ เนื่องจากในภาษาฝรั่งเศส คำว่า don ในภาษาฝรั่งเศส แปลตรงๆ ได้ว่า การให้ พรสวรรค์ และการบริจาค (โดยขึ้นกับบริบท) ในกรณีของ Marcel Mausผลงานสำคัญของเขาเรื่อง “The Gift” (Essai sur le don, 1925) การแปลคำว่า “gift” ควร ระมัดระวังมาก เพราะคำนี้มีนัยมากกว่าการให้ของขวัญธรรมดาในความหมายทั่วไป เนื้อหาสำคัญของหนังสือประกอบด้วย 1. การแลกเปลี่ยนที่ซับซ้อน โดย Mauss แสดงให้เห็นว่าการแลกเปลี่ยนในสังคมดั้งเดิม ไม่ใช่การให้ของโดยไม่มีข้อผูกพัน แต่เป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนที่มีข้อผูกพัน 3 ประการ ได้แก่ การให้ (Obligation to Give) การรับ (Obligation to Receive) การตอบแทน (Obligation to Reciprocate) การแลกเปลี่ยนเช่นนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องทางเศรษฐกิจ แต่เป็นกระบวนการที่สร้างความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงทางสังคม 2. ตัวอย่างทางวัฒนธรรม Mauss อ้างถึงสังคมดั้งเดิมหลายแห่ง เช่น 2.1 ระบบพอชแลช (Potlatch) ของชนพื้นเมืองในแถบแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งผู้คนจะให้ของขวัญมหาศาลกับคู่แข่ง เพื่อแสดงความมั่งคั่งและอำนาจ โดยการให้ของขวัญเหล่านี้ ผู้ให้จะสร้างความผูกพันที่ทำให้ผู้รับต้องตอบแทน Kula Ring ในหมู่เกาะ Trobriand ที่มีการแลกเปลี่ยนของมีค่าผ่านพิธีกรรม การแลกเปลี่ยนนี้ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างหมู่บ้านต่างๆ 3. หลักการของเศรษฐกิจศีลธรรม (Moral Economy) Mauss ชี้ให้เห็นว่า การแลกเปลี่ยนในสังคมดั้งเดิมไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการซื้อขายทางการค้า แต่เป็นการแลกเปลี่ยนที่เชื่อมโยงกับระบบศีลธรรม ความเชื่อทางศาสนา และวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนเช่นนี้ทำให้เกิดความรับผิดชอบระหว่างบุคคลและกลุ่มสังคม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น 1. การให้ของขวัญในครอบครัว ในบางวัฒนธรรม เมื่อมีการให้ของขวัญ เช่น ในงานแต่งงานหรือพิธีสำคัญ สมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทจะต้อง "ตอบแทน" ของขวัญในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น ความช่วยเหลือหรือการสนับสนุนในอนาคต สิ่งนี้สอดคล้องกับข้อผูกพันที่ Mauss อธิบายว่า การแลกเปลี่ยนไม่ใช่แค่เพียงเรื่องการให้ของ แต่เป็นการสร้างเครือข่ายทางสังคม 2. การบริจาคเพื่อการกุศล แม้ว่าอาจดูเหมือนเป็นการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน แต่ในบางครั้งการบริจาคอาจทำให้ผู้บริจาคได้รับการยอมรับหรือเกียรติยศในสังคม การได้รับการยอมรับนี้เป็น "การตอบแทน" อย่างหนึ่ง ซึ่งคล้ายกับที่ Mauss อธิบายว่า การให้ของขวัญนั้นสามารถสร้างความผูกพันทางสังคม หนังสือของ Mauss จึงเน้นให้เห็นว่าการให้ของขวัญนั้นไม่ใช่เพียงแค่การให้ทางวัตถุ แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่มีผลผูกพันในเชิงสังคม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเพิ่มเติมที่สามารถอธิบายแนวคิดใน The Gift ของ Marcel Mauss ในบริบทต่างๆได้มีดังนี้ 1. การให้และรับของขวัญในงานแต่งงาน ในหลายวัฒนธรรม เช่น ในประเทศไทย หรือประเทศอื่นๆ ในเอเชีย การให้ของขวัญหรือเงินในงานแต่งงานเป็นธรรมเนียมที่มีความหมายทางสังคมลึกซึ้ง คนที่มาร่วมงานมักให้ของขวัญหรือเงินตามความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคู่บ่าวสาว การรับของขวัญนี้มีนัยยะแฝงอยู่ คือการสร้างความผูกพันในอนาคต เพราะในวันข้างหน้า ผู้ให้ของขวัญจะคาดหวังความช่วยเหลือหรือการตอบแทนในการรับเชิญในงานอื่น เช่น งานแต่งงานหรืองานบุญของตนเอง 2. การแลกเปลี่ยนของขวัญในเทศกาล ตัวอย่างเช่นในเทศกาลคริสต์มาสหรือปีใหม่ การให้ของขวัญในช่วงเทศกาลมีความหมายทางสังคมมากกว่าการให้ของขวัญแบบธรรมดา ในบางสังคม การแลกของขวัญกันในเทศกาลนั้นกลายเป็นข้อผูกพันทางสังคมที่คาดหวังให้มีการตอบแทน แม้จะไม่มีการพูดออกมาอย่างชัดเจน การให้ของขวัญในเทศกาลเช่นนี้ช่วยสร้างและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนหรือครอบครัว ซึ่งตรงกับแนวคิดของ Mauss ที่ว่าการให้ของขวัญนั้นเป็นการแลกเปลี่ยนที่มักมีผลผูกพันทางสังคม 3. การรับแขกในบ้าน ในหลายวัฒนธรรม การเชิญแขกมาทานอาหารที่บ้านมักจะต้องมีการตอบแทน เช่น เมื่อมีคนเชิญเราไปทานอาหารเย็นที่บ้าน ในครั้งถัดไปเราอาจจะต้องตอบแทนด้วยการเชิญพวกเขามาทานอาหารที่บ้านเรา การปฏิเสธที่จะตอบแทนอาจถูกมองว่าเป็นการละเลยความสัมพันธ์หรือมารยาททางสังคม การกระทำนี้จึงไม่ใช่เพียงการให้ความสุขในการทานอาหาร แต่เป็นการสร้างความผูกพันและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคม 4. การให้ความช่วยเหลือในสังคมชนบท ในสังคมชนบทหรือชุมชนใกล้ชิด การให้ความช่วยเหลือกัน เช่น การช่วยเหลืองานการเกษตร การปลูกบ้าน หรือการจัดงานบุญ เป็นการให้ที่มักมีผลตอบแทนในรูปแบบอื่น การช่วยเหลือในลักษณะนี้ไม่ได้หวังผลตอบแทนในทันที แต่มีข้อผูกพันทางสังคมที่จะต้องช่วยเหลือกันในอนาคตเมื่อมีความจำเป็น ซึ่งคล้ายกับแนวคิดการแลกเปลี่ยนของขวัญที่ Mauss กล่าวถึง การให้ความช่วยเหลือนี้จึงเป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งในชุมชน 5. การบริจาคในศาสนาพุทธ การทำบุญหรือบริจาคในศาสนาพุทธ แม้ว่าโดยหลักการอาจดูเหมือนเป็นการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน แต่ในความเป็นจริง ผู้ให้มักคาดหวังผลบุญหรือความเจริญรุ่งเรืองในอนาคต ในลักษณะนี้ การบริจาคหรือทำบุญจึงเป็นการแลกเปลี่ยนทางจิตวิญญาณ ซึ่งคล้ายกับแนวคิดของ Mauss ที่แสดงให้เห็นว่าการให้ของขวัญในสังคมดั้งเดิมมักเกี่ยวข้องกับศาสนาและพิธีกรรม ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า การให้และรับในสังคมมักมีผลผูกพันทางสังคม ไม่ว่าจะในรูปแบบของการสร้างความสัมพันธ์ การตอบแทน หรือการรักษาความสมดุลของความสัมพันธ์ทางสังคม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...