ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดการผสมผสาน ( Hybridity) ของBhabha

แนวคิด Hybridity ของ Homi K. Bhabha เป็นหนึ่งในแนวคิดสำคัญในงานศึกษาวัฒนธรรมหลังอาณานิคม (Postcolonial Studies) ที่ใช้ในการอธิบายปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและอำนาจในบริบทของการปะทะกันระหว่างโลกอาณานิคมและผู้ถูกล่าอาณานิคม กรอบคิดหลักของ Hybridity ประกอบด้วย 1. การผสมผสานของวัฒนธรรม (Cultural Mixing) Hybridity เน้นถึงการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมอาณานิคมและวัฒนธรรมของผู้ถูกอาณานิคมซึ่งไม่ใช่การผสมที่สมบูรณ์แบบหรือเท่ากัน แต่เป็นพื้นที่ที่ทั้งสองวัฒนธรรมถูกเปลี่ยนแปลงและดัดแปลงไปตามสภาวะการปะทะ 2. การต่อต้านการเป็นศูนย์กลาง (Anti-essentialism) โดย Bhabha มองว่า Hybridity ท้าทายแนวคิดที่ว่ามีวัฒนธรรมบริสุทธิ์หรือชัดเจนหนึ่งเดียว วัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดตายตัว แต่เปลี่ยนแปลงและปรับตัวผ่านการปะทะกันในบริบทที่หลากหลาย 3พื้นที่ระหว่าง (Third Space) ซึ่ง Bhabha ใช้แนวคิดพื้นที่ระหว่างหรือ "Third Space" เพื่ออธิบายสถานที่ที่เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นที่ที่อัตลักษณ์และอำนาจถูกต่อรองและถูกนิยามใหม่ พื้นที่นี้ไม่ใช่ที่วัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่งจะเข้าครอบครองหรือควบคุม แต่เป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เกิดการสร้างความหมายใหม่ๆ 4. การต่อต้านและสร้างใหม่ (Resistance and Reappropriation) แนวคิด Hybridity ยังสามารถถูกมองว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อต้านการครอบงำทางวัฒนธรรม ผู้ถูกอาณานิคมสามารถนำวัฒนธรรมของผู้ล่าอาณานิคมมาใช้และปรับเปลี่ยนตามเงื่อนไขของตน ซึ่งทำให้เกิดการท้าทายต่ออำนาจที่ครอบงำ 5. การเลื่อนและการไม่สมบูรณ์ (Ambiguity and Incompleteness) แนวคิดนี้ยังเน้นการเลื่อนลอยและความไม่สมบูรณ์ของอัตลักษณ์ ไม่มีการผสมที่สมบูรณ์แบบ หรือการบรรลุถึงอัตลักษณ์ที่ตายตัว Hybridity เปิดเผยความขัดแย้งและความซับซ้อนของการเป็นตัวตน โดยรวมแล้ว แนวคิด "Hybridity" ของ Homi K. Bhabha เสนอให้เราเข้าใจวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ในแบบที่ซับซ้อน ไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดโดยอำนาจข้างใดข้างหนึ่ง แต่เป็นผลผลิตจากการปะทะ การปรับตัว และการสร้างความหมายใหม่ในบริบทของโลกที่มีความซับซ้อนและหลากหลาย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...