ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

คนกับป่า มองผ่านงานของColin Turnbull Forest People: study of the Pygmies of the Congo (1961) โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือที่จัดอยู่ในกลุ่มชาติพันธุ์วิทยาทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาคลาสสิค ชื่อว่า Forest People: study of the Pygmies of the Congo (1961) เขียนโดย Colin Turnbull
สาระสำคัญของหนังสือ The Forest People เป็นการศึกษาชีววิทยาเชิงชาติพันธุ์ของกลุ่ม Bambuti Pygmies ในป่าฝนเขตร้อนของคองโก Turnbull ใช้เวลาหลายปีอาศัยร่วมกับ Bambuti เพื่อศึกษาโครงสร้างสังคม วิถีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ หนังสือให้ภาพลึกซึ้งเกี่ยวกับสังคม BaMbuti ในหลายมิติ ตั้งแต่ชีวิตประจำวัน การล่าสัตว์ ประเพณี และพิธีกรรมต่าง ๆ ที่มีบทบาทสำคัญต่อความเชื่อและความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของพวกเขา บัมบูติ(Bambuti ) เป็นชื่อของกลุ่มคนแคระอิตูรี 4 กลุ่มประกอบด้วย Sau , AKa , Efe และ Mbuti แต่ละกลุ่มมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่หลวมๆ กับกลุ่มเกษตรกร พวกเขาเป็นนักล่าและรวบรวมอาหารเร่ร่อนที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่มเล็กๆ ที่มีลักษณะและขนาดแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปจะจัดกลุ่มตามสายตระกูลที่มีสมาชิกตั้งแต่ 10 ถึง 100 คน
พวกเขาอาศัยอยู่ในป่าฝนเขตร้อน ซึ่งถือเป็นแหล่งอาหารขนาดใหญ่ อาหารหลักของพวกเขาที่สำคัญ ได้แก่ หัวมัน สัตว์ป่า น้ำจืดจากลำธารและแหล่งน้ำธรรมขาติอื่นๆ รวมถึง ฟืน และเสื้อผ้า ซึ่งพวกเขามีการค้าขายกับพวกเกษตรกร พวกเขาสร้างกระท่อมด้วยไม้ในป่า ชาวบัมบูติไม่มีหัวหน้าเผ่าหรือสภาผู้อาวุโสอย่างเป็นทางการ พวกเขาแก้ปัญหาและข้อโต้แย้งด้วยการหารือกันโดยทั่วไป พวกเขาเชื่อใน เทพเจ้าแห่งป่าผู้ใจดีและในโอกาสสำคัญต่างๆ เช่น การเติบโตของเด็กชายและเด็กหญิง ในประเพณีแต่งงานและการตาย จะมีเพลงพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อ "สร้างความยินดีให้กับป่า" ดนตรีของชาวบัมบูติมีจังหวะและยอมรับกัน ในฐานะที่เป็นพื้นฐานของการแสดงออกทางศาสนา ความน่าสนใจและสาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ที่ทำให้เเราเห็นความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กับป่า อาทิเช่น 1. ความสมานฉันท์กับธรรมชาติ ชนพื้นเมือง Bambuti Pygmies มีความเชื่อว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของป่า และป่าคือแหล่งชีวิตและวิญญาณ พิธีกรรมหลายอย่างที่พวกเขาทำมีความเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์นี้ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เป็นวิถีชีวิตของพวกเขาถูกถ่ายทอดผ่านกิจกรรมการล่าสัตว์และการเก็บหาของป่า 2. โครงสร้างสังคมแบบเท่าเทียม ในสังคมของ Bambuti มีลักษณะสังคมที่ค่อนข้างเท่าเทียม ปราศจากการลำดับชั้นอย่างเคร่งครัด ซึ่งแตกต่างจากหลายสังคมในโลกภายนอก พวกเขาไม่มีผู้นำที่มีอำนาจสูงสุด แต่การตัดสินใจมักทำร่วมกันผ่านการสนทนาและการร่วมมือกันของชุมชน 3. ความสำคัญของพิธีกรรม โดย พิธีกรรมและการแสดงทางศาสนามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของ BaMbuti พวกเขาใช้พิธีกรรมในการขอพรจากป่าและวิญญาณ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นอยู่ที่ดี 4. การศึกษาชีวชาติพันธุ์วิทยา โดย Turnbull ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาแบบมีส่วนร่วม ที่นักวิจัยต้องอาศัยอยู่และสัมผัสชีวิตของกลุ่มที่กำลังศึกษาเพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งและมีมุมมองเชิงประสบการณ์ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหนังสือ The Forest People ของ Turnbull ได้แก่ 1. ความสัมพันธ์ระหว่าง Bambuti กับป่า ตัวอย่าง ชาว Bambuti มองว่าป่าเป็น "มารดา" ที่ให้ทั้งอาหารและที่อยู่อาศัย พวกเขาเชื่อว่าป่ามีจิตวิญญาณและความศักดิ์สิทธิ์ ความสัมพันธ์นี้สะท้อนผ่านการล่าสัตว์ที่ต้องขอพรจากวิญญาณของป่าและการขอบคุณป่าหลังจากล่าสัตว์สำเร็จ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความเคารพและการเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณระหว่างพวกเขากับธรรมชาติ พิธีกรรมสำคัญของพวกเขาคือ molimo พิธีกรรมนี้จัดขึ้นเมื่อป่าถูกมองว่าตกอยู่ในสภาวะไม่สมดุล เช่น ในช่วงเวลาที่ชุมชนมีความเจ็บป่วยหรือความทุกข์ยาก พิธี molimo เป็นการร้องเพลงและเต้นรำเพื่อเรียกคืนความสมดุลของป่า แสดงถึงความเชื่อในพลังของธรรมชาติที่สามารถรักษาสมดุลในชีวิตของพวกเขาได้ 2. โครงสร้างสังคมแบบเท่าเทียม (egalitarian society) ตัวอย่างในสังคม Bambuti ไม่มีระบบการแบ่งชนชั้นหรือการถืออำนาจเด็ดขาด การตัดสินใจส่วนใหญ่มาจากการพูดคุยร่วมกัน ตัวอย่างหนึ่งคือการตัดสินใจในการล่าสัตว์หรือการเก็บของป่า โดยทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และจะมีการปรึกษาหารือกันอย่างเปิดเผย เช่น เมื่อต้องตัดสินใจเลือกสถานที่ล่า ทุกคนในกลุ่มจะอภิปรายจนกว่าจะมีการตกลงกัน การล่าสัตว์ร่วมกันในชนพื้นเมือง Bambuti ใช้วิธีการล่าสัตว์ร่วมกัน เช่น การล้อมแห่ วางตาข่าย(net hunting) โดยทุกคนในกลุ่มมีบทบาทสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งแหหรือการล่าสัตว์ การแบ่งปันเนื้อสัตว์ที่ได้ก็เป็นการกระทำที่ทำให้ทุกคนในชุมชนได้รับผลประโยชน์เท่าเทียมกัน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้ล่าหรือไม่ 3. พิธีกรรมในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างในชนพื้นเมือง Bambuti มีพิธีกรรมที่สอดแทรกอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น พิธีสำหรับการเปลี่ยนผ่านของชีวิต (rites of passage) เมื่อเด็กก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ พวกเขาจะมีพิธี seclusion ซึ่งเป็นการแยกตัวออกจากชุมชนเพื่อเตรียมตัวเรียนรู้วิถีของผู้ใหญ่ ทั้งนี้จะมีการสอนเรื่องการล่าสัตว์ การตั้งแคมป์ และการดูแลครอบครัว เป็นการถ่ายทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น โดยพิธี elima ถือเป็นพิธีเฉลิมฉลองการเข้าสู่วัยผู้หญิง (menstruation) ซึ่งตรงกันข้ามกับหลายสังคมที่มองว่าการมีประจำเดือนเป็นสิ่งต้องห้าม แต่สำหรับ BaMbuti นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ครอบครัวและชุมชนจะร่วมกันเฉลิมฉลอง การมองว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นผู้ใหญ่เป็นเรื่องน่ายินดีแสดงถึงมุมมองที่เป็นบวกต่อเรื่องเพศและวัยเจริญพันธุ์ 4. การแก้ไขความขัดแย้งในชุมชน ที่ตัวอย่างสำคัญที่ Turnbull บรรยายถึงเหตุการณ์ที่มีความขัดแย้งระหว่างสองครอบครัวในชุมชน Bambuti แทนที่จะแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรง ชุมชนใช้วิธีการประชุมร่วมกัน และทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด ความขัดแย้งส่วนใหญ่ได้รับการแก้ไขผ่านการพูดคุยและการปรองดองในชุมชน โดยที่ไม่มีผู้นำคนใดที่มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสิน แนวคิดสำคัญในหนังสือ The Forest People ของ Colin Turnbull สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเด็นหลักที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและความเข้าใจต่อสังคมของกลุ่ม Bambuti Pygmies ดังนี้ 1. แนวคิดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ Turnbull มองว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Bambuti กับป่าไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในการยังชีพ แต่เป็นความสัมพันธ์ที่มีความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ ป่าไม่ได้เป็นแค่แหล่งอาหารและที่อยู่อาศัย แต่เป็น "มารดา" และ "ครู" ของพวกเขา การดำรงอยู่ของพวกเขาขึ้นอยู่กับป่าอย่างแท้จริง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวคิดที่ว่า มนุษย์และธรรมชาติมีความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งและอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน 2. แนวคิดสังคมเท่าเทียม (Egalitarian Society) โดย Turnbull เน้นถึงโครงสร้างสังคมที่เท่าเทียมของ Bambuti ซึ่งไม่มีการลำดับชนชั้นหรืออำนาจสูงสุด ทุกคนในชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและความรับผิดชอบ โดยความสำเร็จและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการล่าและการดำเนินชีวิตร่วมกันจะถูกแบ่งปันอย่างเท่าเทียม แนวคิดนี้สะท้อนถึงการทำงานร่วมกันอย่างสันติและการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในสังคมที่ไม่มีการข่มขู่หรือบังคับ 3. แนวคิดการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่มีความสุข: Turnbull เน้นว่าสังคม Bambuti เป็นสังคมที่เรียบง่าย ไม่มีสิ่งฟุ่มเฟือยหรือความต้องการมากมาย แต่พวกเขากลับมีความสุขและความสงบสุขในชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ แนวคิดนี้สะท้อนถึงการปฏิเสธแนวคิดสมัยใหม่ที่ว่าความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อความสุข 4. แนวคิดความสำคัญของพิธีกรรมและสัญลักษณ์ ในสังคม Bambuti พิธีกรรมและสัญลักษณ์มีบทบาทสำคัญในการสร้างความหมายให้กับชีวิต พิธีกรรม molimo และ elima เป็นตัวอย่างของการแสดงออกถึงความเชื่อในป่าและความเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ พิธีกรรมเหล่านี้ยังแสดงถึงความเข้มแข็งของสังคมและการรักษาความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ 5. แนวคิดการศึกษาแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) Turnbull ใช้แนวทางการศึกษาแบบมีส่วนร่วมทางมานุษยวิทยา โดยใช้เวลาอาศัยอยู่กับชาว Bambuti และเข้าร่วมกิจกรรมในชีวิตประจำวันของพวกเขา แนวคิดนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการเข้าใจสังคมและวัฒนธรรมของคนกลุ่มหนึ่งโดยการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนั้น แทนที่จะมองจากภายนอก เขามองว่าการเข้าใจวัฒนธรรมของกลุ่มชนต้องมาจากการมีประสบการณ์ตรงและสัมผัสกับชีวิตของพวกเขา 6. แนวคิดการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบจากภายนอก แม้ว่า Turnbull เน้นถึงความเป็นอิสระและความเข้มแข็งของสังคม Bambuti เขายังแสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากการบุกรุกของกลุ่มคนภายนอก ไม่ว่าจะเป็นพวกผู้ตั้งถิ่นฐานในคองโกหรือพ่อค้า สิ่งเหล่านี้แสดงถึงการเผชิญหน้าของวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจทำให้วิถีชีวิตดั้งเดิมของ Bambuti เสื่อมสลายไปในที่สุด แนวคิดเหล่านี้สะท้อนถึงมุมมองของ Turnbull ที่ไม่เพียงแค่การศึกษาเรื่องชาติพันธุ์วิทยา แต่ยังมีการสะท้อนถึงปัญหาในสังคมสมัยใหม่และการรักษาวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ โดยสรุป หนังสือ The Forest People เล่มนี้ของ Colin Turnbull แสดงให้เห็นถึงชีวิตที่เรียบง่ายแต่ซับซ้อนของ Bambuti และความสัมพันธ์เชิงลึกที่พวกเขามีกับธรรมชาติ ความเข้าใจของ Turnbull ต่อวัฒนธรรมและสังคมของ Bambuti ถูกถ่ายทอดผ่านตัวอย่างที่ชัดเจนของพิธีกรรม การใช้ชีวิตร่วมกัน และการแก้ปัญหาที่ใช้การสื่อสารเป็นหัวใจสำคัญ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...