ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สัญลักษณ์และการตีความทางมานุษยวิทยา ของ Clifford Geertz โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Clifford Geertz เป็นนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงในการพัฒนาแนวคิดทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรม โดยเฉพาะการศึกษาเชิงตีความ (Interpretive Anthropology) แนวคิดสำคัญของ Geertz คือการเข้าใจวัฒนธรรมในฐานะ "ชุดของสัญลักษณ์" (Symbolic System) ที่สื่อความหมายในสังคม มาดูหนังสือสำคัญของเขาและแนวคิดพร้อมตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในงานของเขา ได้แก่ 1. The Interpretation of Cultures (1973) หนังสือเล่มนี้ถือเป็นหนึ่งในงานที่สำคัญที่สุดของ Geertz เขาเสนอว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อแสดงความหมาย (Symbolic Meaning) และมานุษยวิทยาควรเป็นการศึกษาเชิงตีความเพื่อเข้าใจความหมายเหล่านั้น งานของ Geertz เน้นการใช้แนวทาง Thick Description ซึ่งเป็นการบรรยายเชิงลึกเกี่ยวกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรม เพื่อช่วยให้เราเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพฤติกรรม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหนังสือ เช่น พิธีกรรมการชนไก่ในบาหลี (Balinese Cockfight) ในบทความที่มีชื่อเสียง "Deep Play: Notes on the Balinese Cockfight" Geertz วิเคราะห์การแข่งขันชนไก่ในบาหลี โดยเสนอว่าไม่ใช่แค่เกมกีฬา แต่เป็น "การแสดงทางวัฒนธรรม" ที่สะท้อนถึงโครงสร้างทางสังคมของชุมชน การชนไก่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชายและสถานะทางสังคม โดยชนชั้นสูงและชนชั้นล่างมีบทบาทต่างกันในกระบวนการนี้ Geertz ใช้การตีความเชิงสัญลักษณ์เพื่ออธิบายว่าเหตุการณ์นี้แสดงถึงความสัมพันธ์อำนาจ ความเป็นปฏิปักษ์ และความท้าทายต่อบรรทัดฐานทางสังคม แนวคิดที่เขาใช้ คือ Thick Description (การบรรยายเชิงลึก) Geertz ใช้แนวทางนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าการศึกษาพฤติกรรมหรือพิธีกรรมทางวัฒนธรรมควรเข้าใจในบริบทเชิงสัญลักษณ์และความหมายที่ซับซ้อน แนวคิด Culture as Text (วัฒนธรรมเป็นเหมือนข้อความ): Geertz มองว่าวัฒนธรรมสามารถอ่านและตีความเหมือนการอ่านข้อความ โดยการแสดงออกทางวัฒนธรรมทุกอย่างมีความหมายที่ต้องเข้าใจในบริบทของสังคมนั้น
2. หนังสือ Local Knowledge (1983) ในหนังสือ Local Knowledge Geertz ขยายแนวคิดเรื่องวัฒนธรรมและการตีความ โดยเน้นถึงความสำคัญของการศึกษาความรู้ท้องถิ่น (Local Knowledge) หรือความเข้าใจที่เกิดจากประสบการณ์ของคนในวัฒนธรรมหนึ่งๆ Geertz เชื่อว่าการทำความเข้าใจวัฒนธรรมต้องคำนึงถึงการรับรู้และการตีความของคนในชุมชนเอง ไม่ใช่แค่การวิเคราะห์จากมุมมองของนักวิจัยภายนอก ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหนังสือ อาทิเช่น ระบบกฎหมายในโมร็อกโก ในบทหนึ่ง Geertz ศึกษาระบบกฎหมายในโมร็อกโกและมองว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมายแบบตะวันตกที่เน้นการลงโทษ แต่ยังมีองค์ประกอบทางวัฒนธรรมและศาสนาที่สำคัญซึ่งกำหนดวิธีการใช้กฎหมายในชุมชน โมร็อกโกมีระบบที่ผสมผสานกฎหมายทางศาสนาและทางโลก ซึ่งสะท้อนถึงวิธีที่คนในชุมชนทำความเข้าใจเกี่ยวกับความยุติธรรมและอำนาจ แนวคิดที่ใช้ คือ Local Knowledge (ความรู้ท้องถิ่น) Geertz ชี้ให้เห็นว่าความรู้ทางสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่มีความเฉพาะเจาะจง และการเข้าใจวัฒนธรรมต้องพิจารณาความรู้ที่สร้างขึ้นจากภายในของชุมชนนั้นๆ แนวคิดThick Description ยังคงเป็นแนวทางหลักที่เขาใช้ในการวิเคราะห์ โดยเน้นการเข้าใจรายละเอียดทางวัฒนธรรมในบริบทเฉพาะ
3. หนังสือ Negara: The Theatre State in Nineteenth-Century Bali (1980) ในหนังสือเล่มนี้ Geertz วิเคราะห์ระบบการเมืองในบาหลีช่วงศตวรรษที่ 19 โดยใช้แนวคิดว่รัฐในบาหลีเปรียบเสมือน “โรงละครการเมือง” (Theatre State) ซึ่งอำนาจทางการเมืองไม่ได้เน้นการควบคุมทางกายภาพ แต่แสดงผ่านพิธีกรรมและการแสดงออกทางสัญลักษณ์ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหนังสือ เช่น พิธีกรรมของราชวงศ์ในบาหลี โดย Geertz อธิบายว่าราชวงศ์ในบาหลีไม่ได้ใช้อำนาจผ่านการบังคับหรือความรุนแรง แต่ผ่านการจัดงานพิธีกรรมที่หรูหราและซับซ้อน เช่น พิธีการราชบัลลังก์และการถวายเครื่องบูชา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจทางศาสนาและการปกครอง คนในชุมชนมองว่าราชวงศ์เป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณและสังคม การแสดงออกทางสัญลักษณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาหลีมีเสถียรภาพ แนวคิดที่ใช้ คือTheatre State (รัฐแบบโรงละคร): Geertz มองว่าการเมืองในบาหลีไม่ได้เกี่ยวกับการจัดการอำนาจในแบบที่ตะวันตกเข้าใจ แต่เกี่ยวกับการสร้างภาพลักษณ์และการจัดการความหมายทางวัฒนธรรม แนวคิด Symbolic Anthropology (มานุษยวิทยาเชิงสัญลักษณ์) แนวคิดนี้คือการเข้าใจวัฒนธรรมผ่านการศึกษาสัญลักษณ์และพิธีกรรม ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการทำความเข้าใจโครงสร้างทางสังคมในบาหลี
Religion as a Cultural System ในหนังสือ The Religous of Java (1966) หรือ ศาสนาในฐานะระบบวัฒนธรรม Clifford Geertz ได้พัฒนา โมเดลของศาสนา โดยมองว่าศาสนาเป็นระบบสัญลักษณ์ที่ช่วยให้ผู้คนเข้าใจโลกของพวกเขา Geertz ให้คำนิยามของศาสนาไว้ว่า เป็นระบบของสัญลักษณ์ ที่มีบทบาทในการสร้างอารมณ์และแรงจูงใจที่ทรงพลัง กว้างขวาง และยาวนาน โดยการสร้างแนวคิดเกี่ยวกับโลกและตำแหน่งของมนุษย์ในโลกนั้น ตัวอย่างรูปธรรมที่น่าสนใจ Geertz ยกตัวอย่างระบบศาสนาต่าง ๆ ที่ช่วยให้ผู้คนจัดระเบียบความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตและโลก เช่น ศาสนาอิสลามในโมร็อกโกและศาสนาฮินดูในบาหลี เขาอธิบายว่า ศาสนาไม่ได้เป็นเพียงแค่ความเชื่อ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมและมุมมองของผู้คนต่อโลก ผ่านพิธีกรรมและสัญลักษณ์ทางศาสนา เช่น การสวดมนต์ การบูชา และการเฉลิมฉลองที่เป็นการสร้างความหมายในชีวิตประจำวันของคนในชุมชน
แนวคิดสำคัญที่ใช้ เช่น Geertz ใช้แนวคิดว่า ศาสนาเป็นระบบสัญลักษณ์ โดยเน้นให้เห็นว่าศาสนาไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของความเชื่อหรือความศรัทธา แต่เป็นการสร้างความหมายให้กับโลกของผู้คน ซึ่งสัญลักษณ์ทางศาสนาต่าง ๆ นั้นช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าใจและจัดการกับสถานการณ์ในชีวิตของพวกเขา ผมอยากเน้นแนวคิดของ Geertz ในบทความที่มีชื่อเสียงของเขา Deep Play: Notes on the Balinese Cockfight (1972) Clifford Geertz ได้วิเคราะห์*การชนไก่ซึ่งเป็นกิจกรรมที่พบได้ทั่วไปในหมู่บ้านบาหลี โดยเขาใช้การตีความเชิงลึก (Thick Description) เพื่ออธิบายว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่เกมหรือกีฬาทั่วไป แต่เป็นสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนทางสังคมและวัฒนธรรมของบาหลี รายละเอียดของพิธีกรรมชนไก่ในบาหลี มีดังนี้ 1.ลักษณะของการชนไก่ ชาวบาหลีจัดให้มีการแข่งขันชนไก่ซึ่งไก่ตัวผู้สองตัวจะถูกฝึกมาเพื่อต่อสู้กันจนกว่าตัวหนึ่งจะบาดเจ็บหรือตาย การแข่งขันนี้มีการวางเดิมพันเงินสดที่สูงมาก ชาวบ้านจากชุมชนต่างๆ จะเข้าร่วมและแข่งขันระหว่างกัน โดยการชนไก่ถือเป็นกิจกรรมที่สะท้อนถึงความเป็นชายและสถานะทางสังคม 2. สถานะทางสังคม การเข้าร่วมและการมีไก่ที่ชนะจะเป็นเครื่องหมายของความเป็นชายและความสามารถในการครอบครองอำนาจ การที่ผู้ชายจะประสบความสำเร็จหรือมีชื่อเสียงในชุมชนขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของการแข่งขันชนไก่ และการเป็นผู้มีอำนาจมักจะถูกสะท้อนผ่านการเข้าร่วมการแข่งขันนี้ 3.การตีความของ Geertz Geertz มองว่าการชนไก่เป็นมากกว่าการต่อสู้ของสัตว์ แต่เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ทางสังคมและ ฃสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แฝงอยู่ในสังคมบาหลี การตีความของเขาเน้นที่การวิเคราะห์เชิงสัญลักษณ์ในบริบททางสังคม ตัวอย่างรูปธรรมที่น่าสนใจดังนี้ 1. การแสดงออกทางสถานะและอำนาจ การชนไก่ในบาหลีไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันเพื่อความสนุก แต่เป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ที่สะท้อนความสัมพันธ์ทางอำนาจในชุมชน การเข้าร่วมการแข่งขันและการวางเดิมพันสูงเป็นการแสดงสถานะทางสังคมของผู้ชายในชุมชน ไก่เป็นตัวแทนของเจ้าของ ผู้ชนะไม่เพียงแค่ได้รับเงิน แต่ยังได้รับเกียรติและการยอมรับในสังคม 2. ความเป็นปฏิปักษ์และความท้าทาย การชนไก่ยังสะท้อนถึงความเป็นปฏิปักษ์ภายในชุมชนที่ถูกซ่อนไว้ การแข่งขันนี้เป็นการแสดงออกของความขัดแย้งที่มีอยู่ระหว่างกลุ่มคนในสังคม การต่อสู้ของไก่จึงเปรียบเสมือนเวทีที่สังคมบาหลีใช้เพื่อปลดปล่อยความขัดแย้งและความเป็นปฏิปักษ์ในรูปแบบที่ยอมรับได้ 3. ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของไก่ ในบาหลี ไก่ไม่ได้เป็นแค่สัตว์เลี้ยง แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชายและพลังอำนาจ ไก่ตัวผู้มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าของในลักษณะเชิงสัญลักษณ์ ทำให้การชนไก่เป็นการแสดงออกถึงตัวตนของผู้ชายแต่ละคน ดังนั้น การชนไก่กลายเป็นการแสดงถึงความเป็นชายและความแข็งแกร่ง 4. การพนันและความเสี่ยง Geertz ยังวิเคราะห์การวางเดิมพันสูงในการชนไก่ว่าเป็นการแสดงออกถึงการเผชิญความเสี่ยงและโชคชะตา คนที่เดิมพันสูงสุดจะกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมากขึ้นหากชนะ แต่หากแพ้ก็จะเสียทั้งเกียรติและทรัพย์สิน การวางเดิมพันจึงเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงตัวตนและความกล้าหาญในชุมชน การตีความเชิงลึก (Thick Description) ของ Geertz ในการชนไก่ในบาหลีคือการบรรยายรายละเอียดของกิจกรรมชนไก่ที่ครอบคลุมทั้งบริบททางสังคม จิตวิทยา และวัฒนธรรม เพื่อทำความเข้าใจว่าการชนไก่ในบาหลีเป็นมากกว่าการแข่งขันกีฬา แต่เป็นกิจกรรมที่มีความหมายทางสัญลักษณ์ซับซ้อนในระบบวัฒนธรรมบาหลี ดังนั้น Clfford Geertz จึงเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดเชิงสัญลักษณ์และการตีความวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง เขาเชื่อว่าวัฒนธรรมคือระบบของความหมาย และการเข้าใจสังคมต้องมุ่งเน้นการศึกษาเชิงตีความที่เจาะลึก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...