หนังสือชื่อ Anthropological Optimism: Engaging the Power of What Could Go Right (2023) โดยAnna J. William มุ่งเน้นไปที่แนวคิดของการมองโลกในแง่ดีจากมุมมองทางมานุษยวิทยา โดยเน้นถึงพลังของสิ่งที่อาจพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ในฐานะที่เป็นหนังสือร่วมสมัย มันพยายามสร้างแนวทางการศึกษาใหม่ที่ก้าวข้ามจากการวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาสังคม ไปสู่การนำเสนอความหวังและทางออกที่เป็นไปได้
Anthropological Optimism คือแนวคิดในมานุษยวิทยาที่มุ่งเน้นการมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับความสามารถของมนุษย์ในการสร้างสรรค์และปรับปรุงสังคมให้ดีขึ้น แทนที่จะเน้นการวิจารณ์ปัญหาหรือความท้าทายทางสังคมเพียงอย่างเดียว แนวคิดนี้พยายามนำเสนอวิธีการที่จะช่วยให้สังคมก้าวไปข้างหน้าโดยอาศัยความเข้าใจทางวัฒนธรรมและการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของมนุษย์ในการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก
จุดเด่นของแนวคิดแบบ Anthropological Optimism ได้แก่
1. การมองหาโอกาสในความเป็นไปได้
แนวคิดนี้เน้นการสำรวจความเป็นไปได้ที่สิ่งต่างๆ จะดีขึ้น โดยใช้ข้อมูลเชิงมานุษยวิทยาเพื่อค้นหาและพัฒนาวิธีแก้ไขปัญหาที่ตรงกับความต้องการของชุมชนและสังคม
2. การสร้างสรรค์ทางออกที่เป็นบวก
Anthropological Optimism เชื่อว่านักมานุษยวิทยาสามารถมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมที่ดีขึ้นได้ โดยการทำงานร่วมกับชุมชนในการออกแบบแนวทางที่สร้างผลกระทบเชิงบวก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
3. การมีส่วนร่วมของชุมชนและการสร้างความร่วมมือ
แนวคิดนี้เน้นการทำงานร่วมกับชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการพัฒนาแนวทางที่ยั่งยืนและตอบโจทย์ในระดับท้องถิ่น โดยไม่พึ่งพาการแก้ปัญหาจากภายนอกเท่านั้น
4. การศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพ
Anthropological Optimism มองว่าการวิจัยควรมุ่งไปที่การเสริมสร้างศักยภาพของบุคคลและชุมชน เพื่อให้สามารถรับมือกับความท้าทายได้เอง และมีพลังในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า
โดยรวมแล้ว Anthropological Optimism เป็นแนวคิดที่เสนอว่านักมานุษยวิทยาสามารถมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลกในเชิงบวก ผ่านการมีส่วนร่วมกับชุมชนและการมองหาโอกาสที่ดีในอนาคต
สาระสำคัญและแนวคิดหลัก
1. มานุษยวิทยาแห่งความหวัง หนังสือเล่มนี้เน้นไปที่การศึกษาสังคมที่ให้ความสำคัญกับโอกาสและความหวัง มากกว่าการศึกษาความท้าทายหรือปัญหาในเชิงลบ นำเสนอการเปลี่ยนมุมมองว่ามานุษยวิทยาสามารถช่วยสร้างทางเลือกที่ดีขึ้นได้อย่างไรในบริบทต่าง ๆ
2. การมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ แทนที่จะหยุดอยู่ที่การวิจารณ์ หนังสือเสนอแนวคิดว่ามานุษยวิทยาควรเป็นเครื่องมือในการพัฒนาโซลูชันและแนวทางที่เป็นบวก โดยแสดงให้เห็นว่าผู้คนสามารถมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ดีกว่าได้อย่างไร
3. การศึกษาเชิงปฏิบัติ หนังสือเล่มนี้นำเสนอกรณีศึกษาหรือโครงการที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เช่น การสร้างชุมชนที่ยั่งยืน การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม และการใช้เทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ของสังคม
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่ปรากฏ อาทิ การวิจัยในพื้นที่ชนบทที่มีการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยเน้นว่าการศึกษามานุษยวิทยาสามารถช่วยสนับสนุนการพัฒนาชุมชนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจได้อย่างไร
โครงการร่วมมือในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติที่เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนผ่านการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน หรือตัวอย่างของการพัฒนาเชิงนวัตกรรม ที่เน้นการแก้ปัญหาผ่านการสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชน นักวิจัย และรัฐบาล
หนังสือเล่มนี้เป็นแนวคิดที่เปลี่ยนมุมมองทางมานุษยวิทยาในเชิงบวกและเชิงสร้างสรรค์ โดยพยายามเน้นย้ำว่าสิ่งที่อาจไปในทางที่ดีสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้
ในหนังสือ Anthropological Optimism: Engaging the Power of What Could Go Right มีตัวอย่างรูปธรรมที่น่าสนใจเกี่ยวกับโครงการและแนวทางที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในสังคม ซึ่งสะท้อนแนวคิดของการมองโลกในแง่ดีในบริบททางมานุษยวิทยา ตัวอย่างเหล่านี้ประกอบด้วย
1. การพัฒนาชุมชนยั่งยืนในชนบทอินโดนีเซีย
หนึ่งในกรณีศึกษาที่สำคัญคือการพัฒนาชุมชนยั่งยืนในพื้นที่ชนบทของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการอนุรักษ์ธรรมชาติและการสนับสนุนการดำรงชีวิตที่ยั่งยืนให้กับประชากรท้องถิ่น โครงการนี้มีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันระหว่างชุมชนและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร โดยใช้องค์ความรู้ทางมานุษยวิทยาเพื่อสร้างความเข้าใจในวัฒนธรรมและธรรมเนียมปฏิบัติของคนในพื้นที่ ซึ่งทำให้สามารถพัฒนานโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการและบริบทของชุมชนได้
2. โครงการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนในบังกลาเทศ โดยการฟื้นฟูป่าชายเลนที่ถูกทำลายในบังกลาเทศเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงพลังของการมองโลกในแง่ดีและการมีส่วนร่วมในระดับชุมชน เมื่อชาวบ้านร่วมมือกับนักวิจัยและองค์กรท้องถิ่นในการปลูกป่าชายเลนใหม่ โดยการใช้ความรู้จากชุมชนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการประมงและเกษตรกรรม กรณีนี้เน้นถึงวิธีการที่ชุมชนสามารถจัดการทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจท้องถิ่น
3. เทคโนโลยีการเกษตรที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลในแอฟริกาใต้
ในแอฟริกาใต้ มีการนำเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้ในกลุ่มเกษตรกรรายย่อย ซึ่งช่วยปรับปรุงผลผลิตและลดการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลือง โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นโดยไม่กระทบต่อวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม การวิจัยทางมานุษยวิทยามีบทบาทสำคัญในการทำความเข้าใจวิถีชีวิตของเกษตรกรและการสร้างเครื่องมือที่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของพวกเขา
4. โครงการเยาวชนในเมืองใหญ่สหรัฐฯ
โครงการในเขตเมืองของสหรัฐฯ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเยาวชนในชุมชนที่ขาดโอกาส โดยการสนับสนุนทักษะทางสังคมและการเป็นผู้นำ กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นว่ามานุษยวิทยาสามารถช่วยให้เข้าใจถึงปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมที่ทำให้เยาวชนต้องเผชิญกับความยากลำบาก และสามารถพัฒนาโปรแกรมที่เหมาะสมเพื่อสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่เป็นบวกและสนับสนุนการเติบโตของพวกเขา
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพลังของการมองโลกในแง่ดีและการมีส่วนร่วมของชุมชนในการแก้ปัญหา ทั้งในแง่การพัฒนาท้องถิ่นและการเปลี่ยนแปลงสังคมในระดับกว้าง
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น