แนวคิดเรื่องเควียร์ (Queer Theory) เป็นกรอบทางทฤษฎีที่สำคัญในวงการศึกษาเพศภาวะ (Gender Studies) และเพศวิถี (Sexuality Studies) โดยพยายามท้าทายการมองแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับเพศและเพศวิถี แนวคิดนี้สามารถใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์ในหลากหลายบริบท โดยมีแนวคิดหลักดังนี้:
1. การท้าทายความเป็นคู่ตรงข้าม (Challenging Binaries): เควียร์ทฤษฎีท้าทายการแบ่งประเภทแบบคู่ตรงข้าม เช่น ชาย-หญิง หรือ เกย์-สเตรท และมองว่าการแบ่งประเภทเหล่านี้ไม่เพียงแต่จำกัด แต่ยังไม่ได้สะท้อนความหลากหลายของประสบการณ์ทางเพศและเพศวิถี
2. การพิจารณาเพศและเพศวิถีว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นทางสังคม (Sex and Gender as Social Constructs): แนวคิดเควียร์ถือว่าเพศ (Sex) และเพศภาวะ (Gender) ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัวหรือเป็นธรรมชาติ แต่เป็นผลจากการสร้างขึ้นทางสังคมและวัฒนธรรม การแสดงออกของเพศหรือเพศวิถีจึงเป็นการสร้างและเปลี่ยนแปลงได้ตามบริบทต่าง ๆ
3. การทำลายขอบเขตของการปฏิบัติทางเพศและอัตลักษณ์ (Destabilizing Sexual Practices and Identities) แนวคิดนี้มุ่งเน้นการทำลายขอบเขตที่กำหนดการปฏิบัติทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศในแบบที่ถูกจำกัด เควียร์ทฤษฎีให้ความสำคัญกับการเคลื่อนย้ายและเปลี่ยนแปลงของอัตลักษณ์ทางเพศและเพศวิถี
4. การต่อต้านการจัดระเบียบของสังคมตามมาตรฐานเฮเทอโรนอร์มาติฟ (Resistance to Heteronormativity) เควียร์ทฤษฎีต่อต้านการจัดระเบียบทางสังคมที่ยึดหลักเฮเทอโรนอร์มาติฟ (Heteronormativity) ซึ่งถือว่าเพศสัมพันธ์ต่างเพศเป็นบรรทัดฐานและบังคับใช้กับทุกคน
5. การทำความเข้าใจอัตลักษณ์ทางเพศว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีความคงตัว (Gender Identity as Fluid and Unstable) เควียร์ทฤษฎีเสนอว่าอัตลักษณ์ทางเพศไม่มีความคงตัวหรือถาวร และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและบริบท
6. การปฏิเสธการกำหนดบทบาทและความหมายอย่างถาวร (Rejection of Fixed Roles and Meanings)เควียร์ทฤษฎีปฏิเสธการกำหนดบทบาทและความหมายทางเพศที่ตายตัว โดยเน้นว่าการปฏิบัติทางเพศและอัตลักษณ์นั้นไม่มีการจำกัดขอบเขตอย่างชัดเจน
แนวคิดเควียร์นี้สามารถใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์อัตลักษณ์ทางเพศ เพศวิถี และการแสดงออกทางเพศของบุคคลในบริบทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม สังคม หรือบริบททางการเมือง
พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ Victor turner ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Arnold Van Gennep ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา (Periodicity) ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ จะทำอะไร จะปลูกอะไร ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.rite of separation หรือขั้นของการแยกตัว ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ (purification rites) เช่น การโกนผม การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย รวมถึงการตัด การสร้างรอยแผลเป็น การขลิบ (scarification or cutting) ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น