Ethnographic Sorcery ของ Harry G. West (2007) เป็นงานมานุษยวิทยาที่สำรวจความเชื่อเรื่องเวทมนตร์ในบริบททางวัฒนธรรมแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศโมซัมบิก หนังสือเล่มนี้เน้นวิเคราะห์แนวคิดเกี่ยวกับเวทมนตร์และการทำไสยศาสตร์ รวมถึงการปฏิสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับความเป็นสมัยใหม่มีสาระสำคัญดังนี้
1.การศึกษามนต์ดำในบริบทของมานุษยวิทยา
Harry G. West สำรวจการใช้ "เวทมนตร์" หรือ "ไสยศาสตร์" ในชีวิตประจำวันของคนในประเทศโมซัมบิก โดยเน้นถึงความสำคัญของเวทมนตร์ในฐานะกลไกทางสังคมที่ช่วยอธิบายและจัดการกับความไม่แน่นอนและความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ซึ่งมีผลกระทบต่อคนในท้องถิ่น
2. การผสมผสานระหว่างความเชื่อทางเวทมนตร์และโลกสมัยใหม่
Harry G. West นำเสนอการที่คนในชุมชนโมซัมบิกใช้เวทมนตร์เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมที่ซับซ้อน เช่น ความเจ็บป่วย ความยากจน และการสูญเสียทางทรัพย์สิน ผู้คนในท้องถิ่นใช้เวทมนตร์และการพึ่งพาหมอผีเพื่อทำความเข้าใจโลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความไม่เสถียรหลังยุคอาณานิคม
3. บทบาทของนักมานุษยวิทยาในการทำงานภาคสนาม
Harry G. West นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจว่า นักมานุษยวิทยาไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์แบบเป็นกลาง แต่ยังมีส่วนร่วมในกระบวนการเวทมนตร์และความเชื่อที่ตนเองศึกษา เขาได้ทำงานใกล้ชิดกับหมอผีท้องถิ่น ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทของนักมานุษยวิทยาในการตีความและถ่ายทอดความรู้ทางวัฒนธรรมที่ไม่ใช่ของตนเอง
4. การตีความเวทมนตร์เชิงมานุษยวิทยา
Harry G. West ท้าทายกรอบความคิดของตะวันตกเกี่ยวกับเวทมนตร์ โดยแสดงให้เห็นว่าความเชื่อเหล่านี้มีรากฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง ไม่ได้เป็นเพียงความเชื่องมงายหรือการหลบหนีจากความเป็นจริง แต่เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจและจัดการกับความไม่แน่นอนในชีวิต
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้คือกรณีศึกษาเกี่ยวกับหมอผีในโมซัมบิก แบ่งออกเป็นประเด็นดังนี้
1. การทำงานร่วมกับหมอผีในโมซัมบิก
หนึ่งในตัวอย่างที่สำคัญคือการที่ West ได้ทำงานร่วมกับหมอผีท้องถิ่นในโมซัมบิก หมอผีเหล่านี้เป็นที่ปรึกษาสำคัญสำหรับคนในชุมชน โดยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาในการจัดการกับปัญหาสังคมและการหายารักษาโรค ในบางครั้ง หมอผีเหล่านี้ทำงานควบคู่กับบุคลากรทางการแพทย์สมัยใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานของสองวัฒนธรรม
2. การใช้เวทมนตร์ในการอธิบายความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ
Harry G. West อธิบายถึงกรณีที่คนในชุมชนหันไปหาเวทมนตร์และหมอผีเพื่ออธิบายการสูญเสียทรัพย์สินหรือความล้มเหลวทางเศรษฐกิจในยุคหลังอาณานิคม คนในท้องถิ่นเชื่อว่าความล้มเหลวเหล่านี้เกิดจากการถูกสาปหรือถูกใช้มนต์ดำโดยคู่แข่งหรือคนในชุมชนอื่น
3. เวทมนตร์ในการรักษาความสมดุลทางสังคม
อีกตัวอย่างหนึ่งคือการใช้เวทมนตร์เป็นเครื่องมือในการควบคุมความตึงเครียดทางสังคมและการป้องกันความขัดแย้ง การกล่าวหาว่ามีการใช้เวทมนตร์มักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกล่าวโทษผู้ที่มีอำนาจหรือผู้ที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในชุมชน เป็นวิธีการจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางสังคมและการรักษาความสมดุลในชุมชน
4. บทบาทของนักมานุษยวิทยาในโลกแห่งเวทมนตร์
Harry G. West ยังเล่าถึงประสบการณ์ของเขาเองที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อเกี่ยวกับเวทมนตร์ในหมู่คนท้องถิ่น คนในชุมชนมักจะมองนักมานุษยวิทยาเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเชื่อมโยงกับพลังหรือความรู้ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของบทบาทนักมานุษยวิทยาจากผู้สังเกตการณ์ไปเป็นผู้มีส่วนร่วมในวัฒนธรรมที่ตนศึกษา
ความน่าสนใจของหนังสือ Ethnographic Sorcery 2007) ของ Harry G. West สะท้อนให้เห็นแนวคิดสำคัญได้แก่
1. การทำความเข้าใจเวทมนตร์ผ่านกรอบชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnographic in Sorcery Perspective)
West ใช้ชาติพันธุ์วรรณนา (ethnography) เป็นเครื่องมือหลักในการศึกษาความเชื่อเรื่องเวทมนตร์ในโมซัมบิก เขาแสดงให้เห็นว่าเวทมนตร์ไม่ใช่แค่ความเชื่อพื้นบ้านที่เป็นเรื่องเล่าหรือปรากฏการณ์ที่แปลกแยกจากชีวิตประจำวัน แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางสังคมและการเมืองในชุมชน ช่วยในการอธิบายโลกและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น โรคภัยไข้เจ็บ ความตาย หรือปัญหาทางสังคม
2. การใช้เวทมนตร์ในชีวิตประจำวัน (Use of Sorcery in Everyday life )
หนึ่งในประเด็นหลักของ Harry G. West คือการอธิบายว่า เวทมนตร์และไสยศาสตร์ มีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวันของผู้คนในโมซัมบิก โดยเฉพาะในการตอบสนองต่อความไม่แน่นอนและความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การเจ็บป่วย หรือความขัดแย้งทางสังคม การใช้เวทมนตร์จึงถูกมองว่าเป็นวิธีหนึ่งในการแก้ไขปัญหาที่ไม่สามารถอธิบายหรือแก้ไขได้ด้วยวิธีการธรรมดา
3. ความเชื่อมโยงระหว่างเวทมนตร์และการเมือง (Politics of Sorcery)
Harry G. West แสดงให้เห็นถึงบทบาทของเวทมนตร์ในการเมือง โดยเฉพาะในยุคหลังสงครามกลางเมืองในโมซัมบิก การกล่าวหาเรื่องการใช้ไสยศาสตร์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อควบคุมและสร้างอำนาจในชุมชน นอกจากนี้ ความเชื่อในเวทมนตร์ยังเกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางอำนาจและการจัดการกับอำนาจที่ไม่เป็นทางการในสังคม
4. การปะทะกันระหว่างวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเป็นสมัยใหม่ (Local vs. Modern Tensions)
Harry G. West วิเคราะห์การปะทะกันระหว่างความเชื่อดั้งเดิมและความเป็นสมัยใหม่ที่เข้ามาจากอิทธิพลของโลกาภิวัตน์ เขาชี้ให้เห็นว่าแม้จะมีความพยายามของรัฐบาลและองค์การต่างชาติที่จะทำให้สังคมในโมซัมบิกเป็นสมัยใหม่มากขึ้น ความเชื่อในเวทมนตร์ก็ยังคงมีอิทธิพลและสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
5. การตีความของนักวิชาการและคนท้องถิ่น (Academic and Local Interpretations)
Harry G. West นำเสนอว่า นักมานุษยวิทยาและนักวิชาการตะวันตกมักจะตีความความเชื่อเรื่องเวทมนตร์ในแง่ของการอธิบายทางสังคมหรือเศรษฐศาสตร์ แต่สำหรับคนท้องถิ่นในโมซัมบิก ความเชื่อเหล่านี้มีความหมายในเชิงศาสนาและจิตวิญญาณ ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างโลกทัศน์ของนักวิชาการและของคนในพื้นที่
6. เวทมนตร์ในฐานะความรู้และพลังทางสังคม (Sorcery as Social Knowledge and Power)
ในแง่หนึ่ง Harry G. West มองว่าเวทมนตร์เป็นรูปแบบของความรู้และการปฏิบัติทางสังคมที่มีความหมายและคุณค่าในชุมชน เวทมนตร์ไม่ใช่แค่ความเชื่อหรือพิธีกรรมที่ลึกลับ แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการที่คนในชุมชนเข้าใจโลกและควบคุมชีวิตของตนเอง
สรุปหนังสือเล่มนี้นำเสนอความเชื่อมโยงระหว่างเวทมนตร์และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในโมซัมบิก โดยแสดงให้เห็นว่าเวทมนตร์ไม่ใช่เพียงเรื่องไสยศาสตร์ แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางสังคมที่มีบทบาทสำคัญ โดยEthnographic Sorcery ของ Harry G. West เป็นงานที่เน้นการศึกษาความเชื่อเรื่องเวทมนตร์ผ่านกรอบคิดชาติพันธุ์วรรณนา โดยเน้นความสำคัญของเวทมนตร์ในชีวิตประจำวัน การเมือง และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในโมซัมบิก หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่าเวทมนตร์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางสังคมและการจัดการกับความไม่แน่นอนในชีวิต
พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ Victor turner ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Arnold Van Gennep ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา (Periodicity) ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ จะทำอะไร จะปลูกอะไร ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.rite of separation หรือขั้นของการแยกตัว ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ (purification rites) เช่น การโกนผม การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย รวมถึงการตัด การสร้างรอยแผลเป็น การขลิบ (scarification or cutting) ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น