ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

อ้อย น้ำตาล ชาติพันธุ์และอำนาจ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

… เมื่อ5-6 ปีทีแล้ว Prof. Sidney Mintz หนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่แห่งมานุษยวิทยาในอเมริกาเหนือ ได้ถึงแก่กรรม ด้วยวัย 93 ปีและท่านใช้ชีวิตตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950 เพื่อศึกษาความทันสมัยที่เกิดขึ้นในทะเลแคริบเบียน สิ่งที่อาจารย์ Mintz ได้เรียนรู้นั้นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ผู้คน และวัฒนธรรมของแคริบเบียน รวมถึงวิธีที่เขาใช้ทำความเข้าใจคนพื้นเมืองได้ดีที่สุด รวมทั้งมีผลกระทบอย่างต่อเนื่องยาวนานต่อระเบียบวิธีวิจัย และแนวคิดหลายอย่างที่เขา ได้พัฒนาขึ้นเพื่อทำความเข้าใจทะเลแคริบเบียน และเพื่อให้เข้าใจถึงการผสมผสานของผู้คน วัฒนธรรม และสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้กระบวนการของโลกาภิวัตน์แบบ Neo-Colonialism (อาณานิคมแบบใหม่) ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่คนทั่วไป รู้จักผลงานของเขาอย่างแพร่หลาย Mintz ตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนหน้านี้ว่า "ชาวแคริบเบียนเป็นกลุ่มชนที่ทันสมัยกลุ่มแรกในประวัติศาสตร์โลก พวกเขาถูกทำให้ทันสมัยโดยการเป็นทาสและการบังคับควบคุมการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะจำพวก 'เครื่องปรุงรส' (seasoning ) และการบีบบังคับผ่านองค์กรธุรกิจที่เน้นการส่งออกที่คำนึงถึงเรื่องของการจัดการงานตามเวลา โดยการเปลี่ยน นิยามใหม่ และการลดบทบาทกสรแบ่งงานตามเพศลงโดยใช้การกดขี่ทางเชื้อชาติและสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมแทน และโดยความจำเป็นในการสร้างและรักษารูปแบบวัฒนธรรมของตนเองขึ้นใหม่ภายใต้ความกดดันอย่างหนักหน่วงและไม่ลดละจากระบบทุนนิยมและความทันสมัย คนเหล่านี้จึงถูกดึงออกจากสังคมเดิทและเข้าสู่สภาพแวดล้อมทางอุตสาหกรรมและอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกกดขี่อย่างรุนแรง วัฒนธรรมแคริบเบียนต้องพัฒนาภายใต้สภาวะที่ไม่ปกติและเลวร้ายเข่นนี้อย่างช้าๆและต่อเนื่อง นอกเหนือจากการเป็นนักมานุษยวิทยาแล้ว Mintz ยังเป็นที่รู้จักในฐานะนักประวัติศาสตร์ด้านอาหารสำหรับผลงานการศึกษาที่ยอดเยี่ยมของเขาในปี 1985 เรื่อง Sweetness and Power: The Place of Sugar in Modern History ที่ขี้ให้เห็นว่าความหวานและอำนาจมีความเกี่ยวข้องกัน และเขาได้อธิบายถึงประวัติศาสตร์การเมือง-เศรษฐกิจและการบริโภคน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก มันเชื่อมโยงความเป็นทาสของชาวนาชาวไร่ ระบบทุนนิยมโลก การพัฒนารสนิยมหรือรสชาติทางสังคมและวัฒนธรรม และมานุษยวิทยามาร์กซิสต์ไว้ในเรื่องเล่าเพียงเรื่องเดียวที่สามารถแสดงให้เห็นระบบทุนนิยมและอำนาจของระบบทุนนิยมได้อย่างลึกซึ้ง Sidney Mintz แสดงให้เห็นว่าชาวยุโรปและชาวอเมริกันเปลี่ยนน้ำตาลจากสินค้าฟุ่มเฟือยจากต่างประเทศที่หายากให้กลายเป็นความจำเป็นธรรมดาของชีวิตสมัยใหม่ และวิธีการที่เรื่องของน้ำตาลได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของระบบทุนนิยมและอุตสาหกรรม เขาอภิปรายเกี่ยวกับการผลิตและการบริโภคน้ำตาล และเผยให้เห็นว่าต้นกำเนิดของน้ำตาลมีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดเพียงใดในฐานะพืชแห่งการเป็น "ทาส" ที่ถูกเพาะปลูกในอาณานิคมเขตร้อนของยุโรปและถูกใช้เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยฟุ่มเฟือยสำหรับชนชั้นสูงแล้วจึงถูกใช้ให้เป็นส่วนหนึ่งในเมนูอาหารหลักของคนรุ่นใหม่ รวมถึงชนชั้นกรรมาชีพในโรงงานอุตสาหกรรม ในที่สุด เขาพิจารณาว่าน้ำตาลได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน นิสัยการกิน และอาหารของเราในยุคปัจจุบันอย่างไร นี่ยังไม่นับผลกระทบทางด้านสุขภาพในปัจจุบันด้วย ด้วยความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้คนในการซื้อหามาบริโภคในท้องถิ่น ข้อมูลเชิงลึกของเขาเกี่ยวกับการพัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรมของสิ่งที่ถือเป็น "อาหารที่ดี" มีความเกี่ยวข้องกับสภาพปัจจุบันเช่นเคย ตามคำกล่าวอ้างของเขาในหนังสือพิมพ์ New York Times ว่า "เราดูเหมือนจะสามารถกิน (และชอบ) ได้แทบทุกอย่างที่ไม่เป็นพิษในทันที" . . สิ่งที่ถือเป็น 'อาหารที่ดี (good food) ' เช่นสิ่งที่ก่อให้เกิดสภาพอากาศที่ดี (good weather) คู่ครองที่ดี (a good spouse )หรือชีวิตที่ถูกเติมเต็มด้วยความสุข โดยเฉพาะความสุขจากการกินอาหาร ถือเป็นเรื่องทางสังคม ไม่ใช่เรื่องทางชีววิทยา" วิธีการทางมานุษยวิทยาของ Mintz เริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 โดยเขาเป็นสมาชิกของโครงการเปอร์โตริโกซึ่งจัดโดย Prof. Julian Steward โครงการนี้เป็นที่จดจำของนักมานุษยวิทยาชาวแคริบเบียนอาทิเช่น Karla Slocum และ Deborah Thomas สำหรับงานชาติพันธุ์วิทยาอันอุดมสมบูรณ์ด้วยข้อมูลและความรู้ของชุมชนเปอร์โตริโกในชนบทอที่มีความหลากหลาย และพวกเขาได้ตรวจสอบบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมโดยรอบชีวิตของผู้คน รวมถึงการที่การลงทุนจากต่างประเทศในด้านเครื่องจักรกลบนพื้นที่เพาะปลูก ว่าได้สร้างการเปลี่ยนแปลงไปให้กับวิถีชีวิตในท้องถิ่นของคนที่นี่อย่างไร และพวกเขายังพิจารณาถึงมิติต่างๆ ของการจัดลำดับชั้นทางสังคมที่ประชาชนอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ทางสังคมและเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน งานภาคสนามของ Mintz ในระหว่างโครงการกลายเป็นงานคลาสสิกชาติพันธุ์ในปี 1960 เรื่อง Worker in the Cane: A Puerto Rican Life History ในฐานะที่เป็นงานทางชาติพันธุ์วรรณนาทางมานุษยวิทยาที่เข้าใจได้ง่าย วิธีการวิจัยที่น่าสนใจ ที่ส่งต่อให้กับนักมานุษยวิทยารุ่นเยาว์ในอเมริกาที่ต้องอ่านงานนี้ในหลักสูตรเบื้องต้นของพวกเขา โดยโครงการเปอร์โตริโกถือเป็นช่วงต้นน้ำในการพัฒนามานุษยวิทยาว่าด้วยการพัฒนา โดย Mintz และกลุ่มนักเรียนของเขาอย่าง Eric Wolf, Eleanor Leacock, Alexander Lesser และนักมานุษยวิทยาแอฟริกันอเมริกันชายขอบเช่น John St Clair Drake และ Allison Davis ที่ได้บ่อนเซาะหรือทำลายความคิดบางสำนักที่บอกว่าโลกเป็นสถานที่ทางวัฒนธรรมที่แยกจากกัน ไม่มีการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ไร้ซึ่งการติดต่อระหว่างกัน ในเปอร์โตริโก การวิเคราะห์ทางมานุษยวิทยาและชาติพันธุ์วิทยามีความสนใจมากขึ้นในการเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่างท้องถิ่นและระดับโลก ชุมชนและปัจเจกบุคคลตั้งอยู่ในประวัติศาสตร์โลก เศรษฐกิจการเมือง และพื้นที่อื่นๆ เช่น พลัดถิ่นแอฟริกัน การอพยพทั่วโลก และการปะทะกันระหว่างกระบวนการอาณานิคมและการผลิตทุนนิยม ผลงานที่สำคัญอีกประการหนึ่งจากงานของ Mintz คือการโต้แย้งของเขาว่าทะเลแคริบเบียนเป็น "พื้นที่ทางสังคมวัฒนธรรมที่เฉพาะ" แม้ว่าเขาจะสังเกตเห็นลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมที่เฉพาะเจาะจงของภูมิภาคนี้ แต่เน้นย้ำว่าไม่ใช่วัฒนธรรมที่นี่จะมีความเหนียวแน่น มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นตัวเขาไม่ได้เน้นถึงความคล้ายคลึงกันทั่วเกาะและประเทศต่างๆที่อยู่รายรอบ แต่เขาเน้นย้ำถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของภูมิภาคนี้ เขาสังเกตเห็นจำนวนผู้คน สังคมและวัฒนธรรมในทะเลแคริบเบียน (แต่ละแห่งมีลักษณะเฉพาะในการพัฒนาทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติของชีวิตร่วมสมัย) ที่ท้าทายความพยายามใด ๆ ในการสังเคราะห์แบบสรุปรวบยอด ตัวอย่างเช่น การอภิปรายแบบองค์รวมเกี่ยวกับเชื้อชาติและชาติพันธุ์ในแคริบเบียนมักง่ายจนเกินไปหรือให้ภาพที่เหมือนกัน ทั้งที่จริงๆแล้วแต่ละเกาะมีเรื่องราวเฉพาะที่จะบอกและสร้างการอภิปราย ถกเถียงกันได้ทั่วไปทีเปิดเผยให้เห็นความแตกต่างของความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติในสถานที่เฉพาะ จากศูนย์กลางของพื้นที่แคริบเบียน ในงานของมานุษยวิทยาอเมริกาเหนือของ Mintz ก็ยังคงมีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ต้องจัดการ กับข้อวิพากษ์ ตัวอย่างเช่น บางคนอ้างว่าความคิดของ Mintz มีเรื่องของการเอาชาติพันธุ์ตัวเองเป็นศูนย์กลาง หรือมีอคติทางชาติพันธุ์ หรือตั้งข้อสังเกตว่าแคริบเบียนเปลี่ยนแปลงไปมากตั้งแต่โครงการเปอร์โตริโกที่นักวิจัยทางมานุษยวิทยาได้เริ่มดำเนินการควบคู่กัน หรือแม้แต่หนังสือความหวานและอำนาจ ก็ถูกตั้งคำถามว่าผู้เขียนคือเจ้าอาณานนิคม และมองจากมุมของผู้กดขี่หรือผู้เหนือกว่า เป็นต้น แต่ขณะเดียวกัน ก็ปฎิเสธไม่ได้ถึงอิทธิพลในงานของเขาต่อการศึกษาแถบแคริเบียน ที่ทำให้เขาได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการศึกษาแคริเบียน เช่นเดียวกับนักมานุษยวิทยายุคแรกแห่งการศึกษาแอฟริกัน อย่างเช่น ศาสตราจารย์ Melville Herskovitz ตอนนี้เราสามารถพูดถึง Mintz เองได้เช่นกัน ไม่มีนักมานุษยวิทยาแห่งทะเลแคริบเบียนคนใดสามารถอ้างได้ว่าไม่ได้รับอิทธิพลจากผลงานของศาสตราจารย์ Mintz ในขณะที่ตัดกลับมาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในดินแดนที่เรียกว่า ชูการ์แลนด์เป็นย่านชานเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของฮูสตัน รัฐเท็กซัสที่กำลังเติบโตและเป็นเมืองของพวกอนุรักษ์นิยม เป็นที่ตั้งของโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของรัฐที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในประเทศ และภูมิใจที่ภูมิใจที่เป็นหนึ่งในเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดในเท็กซัสซึ่งมีประชากรหลากหลายวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น การเล่าเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นของเมืองนี้เป็นหนึ่งในผู้ตั้งถิ่นฐานเช่น Stephen F. Austin, William Jefferson Kyle, Benjamin Franklin Terry และ Edward Hall Cunningham เมืองที่ภูมิใจในประวัติศาสตร์ของเมืองมีการจัดงานเพื่อรำลึกถึงชีวิตและความตายของคนผิวดำที่ผลิตน้ำตาลและสร้างความมั่งคั่งได้อย่างไร เรื่องเล่าของผู้ตั้งถิ่นฐานผิวขาวเหล่านี้ได้รับการเฉลิมฉลองในโรงเรียน นักเรียนมีส่วนร่วมในการเฉลิมฉลอง "วันอาณานิคม" ประจำปี และน้ำตาลได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่น่าภาคภูมิใจที่อ้างอิงถึงสิ่งที่ผู้อยู่อาศัยในปัจจุบันของ Sugar Land เรียกว่า "ชีวิตอันแสนหวาน" การค้นพบร่างของนักโทษหนือทาส มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติที่ซับซ้อนกว่าที่ Sugar Land สำหรับเมืองนี้เป็นเมืองที่ยังคงสอนนักเรียนมัธยมปลายว่าทาสเป็นเพียง "คนงาน" ของคนขาวเท่านั้น การค้นพบในปี 2018 ของนักโทษผิวสี 95 คนอายุ 14-70 ปี ในพื้นที่ซึ่งถูกให้เช่าเป็นส่วนหนึ่งของฟาร์มของเรือนจำแห่งรัฐอิมพีเรียล เพื่อทำงานในไร่น้ำตาล ได้ทำให้แนวคิดเกี่ยวกับตนเองของ Sugar Land ถูกสั่นคลอน ประวัติศาสตร์ทางเชื้อชาติถูกทิ้งไว้โดยไม่มีเครื่องหมาย ไม่เป็นที่รู้จัก และไม่ถูกจดจำ ถูกค้นพบท่ามกลางความพยายามของเมืองในการขยายการเติบโต ซากศพของนักโทษที่เรียกรวมกันว่า Sugar Land 95 ถูกพบเมื่อเขตการศึกษาท้องถิ่นเริ่มก่อสร้างในทุ่งโล่งที่อยู่ใกล้โรงงานน้ำตาลของจักรวรรดิที่ปัจจุบันไม่ได้ใช้งาน แผนการที่จะสร้าง James Reese Career and Technical Center นีก็คงสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างอ้อย ชาติพันธ์ุผู้คนและอำนาจได้เป็นอย่างดี และมองเห็นความซับซ้อนเชิงอำนาจที่แฝงเร้นในงานเขียน ความคิด พฤติกรรมของผู้คน โดยไม่รู้ตัว ( ที่มาhttp://m.guardian.co.tt/columnist/2016-01-02/anthropologist-canes) สำหรับผม ผมไม่ได้ผศึกษาคนงานในไร่อ้อย แต่ผมมีโอกาสศึกษาชีวิตของแรงงานชาวสวนยางพลัดถิ่นชาวลาวที่จังหวัดแห่งหนึ่งในภาคะวันออกเฉียบเหนือ ของประเทศไทย ภาพชุดนี้ชอบมาก เพราะในภาพเป็นรูปของสวนยางพาราที่ดูชื้นทึบ และดูน่ากลัว แต่ในภาพมีชีวิตของผู้คนซุกซ่อนตัวอยู่ วิถีชีวิตของแรงงานข้ามชาติชาวลาวที่เข้ามาทำงานหาเงินในเมืองไทย สิ่งที่ผมได้สัมผัสกับพี่น้องแรงานข้ามชาติก็คือความมีน้ำใจของพวกเขาต่อแขกผู้มาเยือนต่อการเข้ามาในพื้นที่สวนยางของผม จากจุดเริ่มต้นได้บ่มเพาะความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพวกเขา การชวนให้ผมมากินข้าวมานั่งคุยกันช่วงเที่ยงช่วงเย็นกับพวกเขาซึ่งเป็นช่วงว่างที่ไม่ได้กรีดยาง ...การได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต ความยากลำบากและการต่อสู้ รวมถึงความหวังในการได้กลับไปยังแผ่นดินเกิดเมื่อเก็บเงินได้มากพอ... ชีวิตและตัวตนในสนามของนักมานุษยวิทยา สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่เพียงการไปนั่งคุยในประเด็นที่เราสนใจศึกษา แต่คือการเข้าไปเรียนรู้วิถีชีวิตผ่านการร่วมโต๊ะกินข้าว กับข้าวมื้อเย็นที่ร้านคาราโอเกะของพ่อเวียงและพี่แม้งในพื้นที่สวนยาง ที่ชวนผมให้กินข้าวร่วมกันกับน้องๆในร้านคาราโอเกะ มื้อนี้อาหารเรียบง่าย ตำแตง แกงหน่อไม้ ส้มหมู ผักสด ที่ทำให้เราได้แบ่งบันวัฒนธรรมภาษาบนโต๊ะกินข้าว ระหว่างภาษาไทย ภาษาลาว ภาษาขมุ ทำให้เราได้บรรยากาศของการอยู่กันเป็นครอบครัว ได้เห็นการใช้ชีวิต การทำงาน และการเรียนรู้ร่วมกัน วันนี้แม้จะดึกแต่ผมไม่รู้สึกกลัวแม้ว่าจะต้องขับรถผ่านสวนยางและสองข้างทางที่มืดมากเพื่อกลับที่พัก.. ประทับใจมากๆกับงานสนามช่วงเรียนและป.เอก ระลึกถึงความเอื้ออาทร ความมีน้ำใจของพี่เพ็ญที่ช่วยดูแลในสนามและให้พักที่บ้านที่อำเภอนายูงในช่วงการเก็บข้อมูลในช่วงปี2557-2559...

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...