ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การสถาปนาตัวตนในเวทีโลก ของวาทกรรมว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน นัฐวุฒิ สิงห์กุล

การสถาปนาตัวตนในเวทีโลก : ของวาทกรรมว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน

หากจะเปรียบเทียบการประชุมของการประชุมขององค์กรสหประชาชาติที่กรุงโจฮันเนสเปิร์ก ประเทศแอฟริกา ในปี2002 ซึ่งเป็นการประชุมเพื่อความร่วมมือระดับโลก เป็นเสมือนตัวบท(Text)ขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยบทสนทนาและตัวละครอันหลากหลาย กำลังโลดแล่นและแสดงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์การกำกับ ของแนวคิด มโนทัศน์ที่เรียกว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนที่เป็นเสมือน กรอบความคิดหรือเป้าหมายร่วมกันที่ทุกคนจะต้องทำให้บรรลุผล

                การพัฒนาที่ยั่งยืน(Sustainable Development) ก็ได้กลายมาเป็นคำศัพท์ยอดนิยมติดตลาดหรือภาษาที่บรรดาผู้นำ นักการเมือง นักสิ่งแวดล้อมนักวิชาการ และนักพัฒนาจากประเทศต่างๆ ได้นำไปประยุกต์ใช้เป้นยุทธศาสตร์การทำงานและเป็นนโยบายของการพัฒนาประเทศ ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่21  อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่ทำให้การพัฒนาที่ยั่งยืน กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกกล่าวขานกันทั่วโลก ก็เพราะมูลเหตุพื้นฐานร่วมกันในประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญและอยู่ในสภาวะวิกฤต ตลอดระยะเวลาของการพัฒนา[1] และทำให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมกลายเป็นจิตสำนึกร่วมของมนุษยชาติบนโลก   ซึ่งทำให้ปัญหาดังกล่าวก้าวข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ระหว่างประเทศ เกิดการเชื่อมโยงร้อยรัดความสัมพันธ์ของปัญหาและการแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาในลักษณะข้ามพื้นที่ ปัญหาของประเทศหนึ่งจึงกลายเป็นปัญหาของคนทั้งโลก  ปัญหาสิ่งแวดล้อมจึงมีฐานะ เป็นภาระกิจหลักร่วมกัน เป็นพันธสัญญาที่ทุกประเทศต้องร่วมกันปฏิบัติให้บังเกิดผล ภายใต้ความเป็นหุ้นส่วนร่วมกันของโลกใบนี้(Partnership)หรือเป็นพันธมิตรด้านสิ่งแวดล้อมและสันติสุขของโลก รวมทั้งความร่วมมือ ภายใต้ประเด็นของการพัฒนาไปพร้อมกัน ไม่มีใครที่จะปฎิเสธการพัฒนาที่ยั่งยืน การตกลงเจรจาซื้อขายระหว่างประเทศ โดยมีกลุ่มทุนข้ามชาติ องค์กรการค้าโลก และองค์กรโลกบาล เป็นตัวกลาง ความสามารถที่จะเจรจาการค้าได้อย่างราบเรียบและประสบความสำเร็จก็คือกลุ่มทุนข้ามชาติ บริษัทธุรกิจเหล่านั้นจะต้องพูดถึงความรับผิดชอบต่อเรื่องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ให้ถูกต่อต้านหรือคัดค้านจากบรรดาประเทศอุตสาหกรรมที่หันมาตระหนักในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม นั่นคือกระบวนการของการพูดภายใต้ตรรกะ กฎเกณฑ์ชุดเดียวกันที่กำกับให้การสื่อสารในบริบทนั้นสามารถดำเนินไปได้
            การให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม  ในประวัติศาสตร์นิเวศวิทยาของโลกนั้น เริ่มต้นจากการที่มนุษย์ได้ตระหนักรู้ ถึงสภาพปัญหาและการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อมของโลก ผ่านการถ่ายทอดและเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม(Environmental Stories) อย่างมากมาย เช่นในปี 1962 Rachel Carson ได้เขียนหนังสือเรื่อง  Silent Spring ทำให้มนุษย์ตระหนักถึงเงื่อนไขของโลก การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ  ระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่เมื่อมนุษย์คนแรกได้เหยียบพื้นผิวดวงจันทร์(ดูPhil Mcmanus,1996;sach,1994) ที่ทำให้มนุษย์ได้เห็นลักษณะมิติของโลก เงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆที่นำไปสู่การตั้งข้อสมมุติฐาน ในเรื่องของโมเดลของการจำกัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก ในงานของ Meadow เรื่องLimit to Growth ในปี1972 จนได้มีการนำประเด็นในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเข้าสู่เวทีการเมืองระดับโลกอย่างแท้จริงครั้งแรก ในการประชุมสหประชาติ ที่กรุงสต็อคโฮม ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ในปี1972 ในหัวข้อ the Human environment ที่เป็นการเปิดประเด็นในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมและการแสวงหาทางเลือกอื่นๆเพิ่มขึ้นในประเด็นการพัฒนาเชิงนิเวศน์eco-Development(ดูPhil Mcmanus,1996;49) หลังจากนั้นการประชุมในประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อมก็ถูกอภิปรายถกเถียงกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากเอกสารรายงานการประชุมที่สำคัญมากมายเช่น ในปี1980 มีรายงานBrundtland Report ชื่อ North-South A Program for Survival และในปี1989 รายงานPalm Report Common CrisisและOur Threatend Future ที่พยายามพูดถึงวิกฤตการณ์ร่วมกันและความไม่มั่นคงต่ออนาคต ระหว่างประเทศซีกเหนือ ซีกใต้ที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของการพัฒนาและความเจริญก้าวหน้า ซึ่งในรายงานทั้งสองฉบับนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับประเด็นหลักคือเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ปรากฎเด่นชัดในรายงานของBrundtland Reportที่ชื่อ Our Common Future ถูกเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการเตรียมการประชุมระดับโลกว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา(The World Commission on Environment and  Development) ในปี1983 ณ กรุงริโอเดอเจเนโร ประเทศ บราซิล เราอาจกล่าวได้ว่า บรรดานิยามความหมายอื่นๆเกี่ยวกับวาทกรรมว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายและมีบริบทเฉพาะทางประวัติศาสตร์นั้น ล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในพื้นฐานของรายงาน บรันท์แลนด์หรือBrundtland Report ที่ได้สร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาทางนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมที่ถูกคุกคามจากมนุษย์เพิ่มมากขึ้น ภายใต้กระบวนการของทุนนิยม การทำให้เป็นอุตสาหกรรมและกระบวนการกลายเป็นเมือง รวมถึงช่วงห่างของรายได้ระหว่างประเทศซีกหนือและใต้ การเกิดขึ้นของโลกเสรีนิยมแนวใหม่(Neo Liberalism) ที่นำไปสู่การจัดระเบียบและเรียกร้องสิทธิในสังคมรูปแบบใหม่ๆ รวมทั้งการสร้างเวทีในการต่อรองระดับประเทศ จนกระทั่งในปี1992 รายงานที่ถูกเสนอโดย Mrs. Gro Holen Brundtland นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของนอร์เวย์จึงได้เข้าสู่เวทีการประชุมของสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาหรือEarth Summit ที่บราซิล โดยตัวแทนจากประเทศต่างๆ176 ประเทศ ที่เขาร่วมประชุมปรึกษาหาแนวทางแก้ไขปัญหาสภาวะความยากจน และวิกฤตสิ่งแวดล้อมของโลก และให้ความเห็นชอบกับโครงการการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก(อ้างจากMichale Cahill,2002:19 และGilbert Rist,1978;178-179) ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการจัดทำแผนปฎิบัติการที่เรียกว่าAgenda21 เพื่อให้บรรดาประเทศต่างๆเข้าชื่อร่วมสัตยาบรรณในเรื่องของอนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีผลบังคับตามกฎหมายเมื่อได้ให้สัตยาบรรณแล้ว รวมทั้งเรื่องปฎิญญาริโอว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา คำแถลงเกี่ยวกับป่าไม้ และAgenda21 ที่ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ซึ่งในรายงานBrundtland Report ชื่อCommon Future ได้ให้คำจำกัดความเกี่ยวกับกรพัฒนาที่ยั่งยืนคือ การพัฒนาที่สนองตอบความต้องการของคนรุ่นปัจจุบันโดยปราศจากการกระทบกระเทือนกับความสามารถของคนรุ่นหลังที่จะตอบสนองความต้องการของคนรุ่นตนได้[2] จะเห็นได้ว่าแม้ว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนในหลักการจะให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ แต่ก็ยังคงเน้นและให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการนำทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างชาญฉลาดสมดุลย์ระหว่างรุ่น แม้ว่าการพัฒนาจะเป็นตัวการสำคัญในการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อมของโลกมาหลายศตวรรษก็ตาม ประเด็นที่น่าสังเกตก็คือ แม้ว่าแนวคิดเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะปรากฎชัดเจนเบื้องต้นในรายงานของ บรันท์แลนด์ แต่ในช่วงเวลากว่า20 ปีคำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน (Substianable Development) ได้ถูกใช้ในประเทศต่างๆทั่วโลก และมีความแตกต่างหลากหลายทางความหมายมากกว่า 70 ความหมาย(อ้างในสุริชัย,2546) นั่นแสดงให้เห็นว่าคำๆนี้ได้ยกระดับคุณค่าและมีพลังอำนาจของตนเองในทางนิเวศวิทยาการเมืองของสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่มนุษยชาติบนโลกให้การยอมรับและเชื่อว่ามันเป็นแนวทางของการพัฒนาที่จะนำไปสู่ความมั่นคงสมดุลย์และแก้ปัญหาวิกฤตของโลกในอนาคต แต่มันก็ถูกตั้งคำถามอย่างท้าทายว่า แท้จริงแล้วการพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นเป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ไปสู่เป้าหมายที่ยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมในอนาคตได้จริงหรือไม่ ในเมื่ออุดมการณ์ เบื้องหลังหรือเป้าหมายที่แท้จริงก็ยังคงเป็นเรื่องของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ดังที่Phil Mcmanus  ได้กล่าวว่า การประชุมของBrundtland Report เป็นการนิยามเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ต้องการจัดการให้เป็นหนึ่งเดียวสำหรับสิ่งที่หลากหลาย ในทิศทางของการสะสมทุนที่เพิ่มขึ้น และสร้างความเป็นไปได้ภายใต้กรอบความคิดสีเขียว(Green Framework) ให้ผู้ที่รวยกว่าในประเทศอุตสาหกรรม สร้างวาทกรรมการพัฒนาให้กับประเทศที่ยากจนกว่า อันนำไปสู่แนวทางร่วมกัน ในผลประโยชน์ทางวัตถุ(Material Benefit)ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของการผลิตและการบริโภคนั่นคือการการพัฒนาที่ยั่งยืนก็ยังคงมีนิยามความหมายเท่ากับคำว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(Economic Growth) และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลายเช่น Sach wolfgang[3]  มองว่า การเชื่อมโยงระหว่างการพัฒนากับยั่งยืน มันทำให้เกิดความกำกวม และเป็นแนวคิดใหม่ที่เปลี่ยนความยั่งยืนจากธรรมชาติมาสู่การพัฒนาในเมื่อความหมายของคำว่ายั่งยืนเดิมคือ ทรัพยากรที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่ปัจจุบันกลับหมายถึงการพัฒนา ที่ทำให้มีผู้อ้างถึงความตั้งใจของตนเองในรูปแบบการพัฒนาต่างๆมากมาย รวมทั้งผู้เชื่อมั่นและสนับสนุนลัทธิความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ใช้ทรัพยากรอย่างทำลายล้างในช่วง2-3 ทศวรรษที่แล้วด้วย อาจกล่าวได้ว่า ความยั่งยืนได้แปรมาเป็นเรื่องของการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนา มากกว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือปัญหาสิ่งแวดล้อม  และได้กลายมาเป็นรูปสัญญะแบบหนึ่งไม่แตกต่างจากที่ Andrew Dobson (1996;หน้า402) มองประวัติศาสตร์การศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน(Envirom\nment Sustainabilities)ว่า มีสองวิธีในการศึกษา วิธีแรกก็คือการมองที่คำจำกัดความว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถอธิบายตัวมันเอง(Self Explanatory) และถูกบรรจุไว้ด้วยความหมาย(Encapsulating meaning) ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเข้าใจง่ายและนำไปสู่ข้อยุติเรื่องรูปแบบและความหมาย ซึ่งต่างกับวิธีที่2 ที่ดูการต่อสู้แข่งขัน(Contested/Contestable) แย่งชิงความหมายที่อาจจะพบว่ามันมีความแตกต่างหรือคล้ายคลึงกัน ซึ่งจะต้องอาศัยการพิจารณาเกี่ยวกับชุดของคำที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงเช่น Sustainability ,ecodevelopment sustain developmentและคำอื่นๆ ซึ่งวิธีการที่สองไม่แตกต่างจากการพิจารณาเรื่องรูปสัญญะที่ล่องลอย ที่จะดูวิธีการสร้างความหมาย การหาความหมายเข้ามาเกาะเกี่ยวเพื่อสร้างคุณค่าให้กับคำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า วาทกรรมที่ว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ถูกสถาปนาขึ้นมาในกระแสโลกปัจจุบัน  ที่มีการให้คุณค่าและนิยามที่หลากหลาย  ไม่ว่าจะเป็นการอนุรักษ์และการพัฒนาที่ปลอดภัย การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ  การจำกัดการบริโภคและปล่อยของเสียสู่ระบบนิเวศน์  จริยธรรมและความเท่าเทียมระหว่างรุ่น  หรือมองแบบนิเวศวิทยาเชิงลึกที่มนุษย์ต้องอยู่อย่างสอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ การสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจอย่างสัมพันธ์กับข้อจำกัดทางระบบนิเวศน์ หรือการจัดการทรัพยากรและการแบ่งปันอย่างเท่าเทียม เป็นต้น[4] ซึ่งได้ทำให้การพัฒนาที่ยั่งยืนกลายเป็นวาทกรรมกระแสหลักในการพัฒนาประเทศต่างๆในปัจจุบัน



[1] การพัฒนา ได้กลายมเแป็นวาทกรรมกระแสหลักตั้งแต่ช่วงยุคสงครามโลกครั้ที่2ที่ได้มีการสร้างความรู้ ความจริงและอัตลักษณ์ตัวตนของความด้อยพัฒนาที่เป็นเสมือนคู่ขัดแย้งกับการพัฒนา และการจัดแบ่งประเภทลำดับชั้นของโลกตามการพัฒนาประเทศที่วัดโดยใช้มาตรฐานทางเศรษฐกิจ รายได้เฉลี่ยต่อหัว  ซึ่งการพัฒนาประเทศได้กระทำผ่านสถาบันและทิศทางจากประเทศตะวันตกที่พัฒนาแล้ว ผ่านรูปแบบการช่วยเหลือทางด้านการเงิน วิชาการและอื่นๆ สิ่งเหล่านี้เรียกว่าภาคปฎิบัติการของวาทกรรม ดูแนวคิดที่วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดการพัฒนาจากตะวันตกได้จาก Wallernstein Immanuel เรื่อง world system theoryหรือนักวิชาการจากละตินอเมริกา Dos Santos เรื่องDependency theory หรือดูงานศึกษาวาทกรรมการพัฒนาของไชยรัตน์ เจริญสิรฃนโอฬาร,2545
[2] อ้างจากต้นฉบับที่ว่า“Sustainable development is deveopmentthat meet the needs of the present without compromising the ability of future generation to meet their own need”


[3] ดูจากนฤมล อรุโณทัยและคณะ (มปพ.) “การพัฒนา:ความเจริญและความเสื่อมของอุดมคติแปลจากบทความของวูล์ฟกัง ซาคส์ เรื่อง Development :The Rise and Decline of an Ideal
[4] ดูได้จาบทความและหนังสือเกี่ยวกับแนวคิดของการพัฒนาที่ยั่งยืน Phil mcmanus(1996), Andrew Dobson(1996),  Tim O’Riordan and Heather Voisey(1997), Richard J.Smith (1996),Robyn Eckersley(1999), Micael Cahill(2002), W.M Adams(1996), Gilbert Rist(1997)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...