1.5
ความคิดเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณของนักปรัชญากรีกและตะวันตกสมัยใหม่คนสำคัญ
การถกถียงกันของนักปรัชญาในยุคทางปัญญาของกรีก
เป็นการถกถียงในประเด็นปรัชญาเรื่องของความรู้ ว่า ความรู้ของคนเรามีจริงหรือไม่? เช่น เฮราดิตุส (Heraditus) สอนว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ไม่มีอะไรแน่นอน ดังนั้น
แล้วเราจะยึดถืออะไรเป็นความรู้ที่คงที่ได้ ในขณะเดียวกันไพทรากอรัสก็สอนเรื่องสัดส่วนต่างๆ
ว่ามีความสำคัญมากกว่าเนื้อธาตุ
ทำให้นักปรัชญากรีกหลายคนพยายามหาคำตอบของปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะเพลโต(Plato)และอะคาเดมี่ (Academy) เป็นลูกศิษย์ของโสเครตีส
และทำให้โลกรู้จักโสเครตีสเกี่ยวกับงานและความคิดของโสเครตีสที่เขาบันทึกไว้ ได้เสนอว่า ความรู้ที่แท้จริงนั้นเรามีได้
แต่ไม่ใช่ความรู้สามัญที่มาจากความจัดเจน เชี่ยวชาญ (Experience) ซึ่งได้มาจากผัสสะ หากแต่ว่าเป็นความรู้ที่อยู่เหนือผัสสะ
ที่เพลโตเรียกว่า “แม่พิมพ์”
หรือรูปแบบสมบูรณ์ (Forms) ซึ่งในความหมายนี้ก็คือ ความรู้ในรูปสมบูรณ์ (Knowledge of Form)
ดังนั้นเพลโตเชื่อในรูปที่สมบูรณ์และไม่เปลี่ยนแปลง
สรรพสิ่งต่างๆที่เปลี่ยนแปลงแท้จริงแล้วต่ำกว่า และเป็นเพียงรูปเสมือนที่ใกล้เคียง
กับรูปสมบูรณ์เท่านั้น เช่นดอกกุหลาบที่เปลี่ยนผ่านจากสภาวะดอกตูมไปสู่ดอกบาน
จากตุ่มเล็กๆสีเขียวใบไม้ จนกระทั่งแย้มบานออกเป็นสีแดง หรือขาวเต็มที่
ต่อมาก็เหี่ยวเฉาร่วงโรย อย่างนี้ เพลโตตั้งคำถามว่า อะไรที่เรียกว่าดอกกุหลาบ
คนทั่วไปย่อมถือว่าดอกกุหลาบคือดอกที่สมบูรณ์เต็มที่แล้ว บานเต็มที่ นั่นก็คือ รูปแบบ (Form) ของมัน เวลามัยตูมเราเรียกว่ากุหลาบตูม เวลาบานเราก็เรียกว่า
กุหลาบธรรมดา เวลาร่วงโรยก็เรียกกุหลาบโรยหรือกุหลาบแห้ง
ดังนั้นมโนภาพหรือความรู้เกี่ยวกับกุหลาบ ก็คือกุหลาบบาน
เป็นมาตรฐานรูปแบบที่สมบูรณ์ตามแบบเพลโต
เพลโตปฏิเสธว่า
สรรพสิ่งที่เราประจักษ์ต่อสายตาตนเองหรือการรับรู้ทางผัสสะ
ล้วนเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น แต่รูปสมบูรณ์ของมัน คือ
ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ ความรู้ในความสมบูรณ์ของมัน ดังเช่น ความรู้เกี่ยวกับกุหลาบและความเป็นกุหลาบซึ่งเป็นความสมบูรณ์ทางรูปธรรม
ความงดงามของดอกกุหลาบก็คือ ความสมบูรณ์ทางนามธรรม เช่นเดียวกับศีลธรรมจรรยา
โลกจึงมีสองส่วนที่เชื่อมกันทั้งหมด
คือรูปธรรมและนามธรรม ความคิดกับวัตถุสสาร เช่นเดียวกับที่ เพลโต เชื่อว่า วิญญาณ
(Soul หรือPsyche)[1]
ในร่างกายของมนุษย์เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวตัวเอง
มันเป็นสิ่งที่ให้ชีวิต และบัญชาให้มองดู
รับรู้ และตั้งเจตจำนง ดังนั้นวิญญาณ จึงมีสามระดับ คือ1.ระดับของเหตุผล
หรือระดับการรู้เหตุผล 2.ระดับอารมณ์ หรือระดับที่กล้าหาญ แกล้วกล้า และ3.ระดับที่เป็นไปตามความต้องการของร่างกาย
ระดับการเกิดความรักใคร่ ซึ่งตั้งอยู่บนส่วนต่างๆของร่างกายตามลำดับคือ ศีรษะ
หัวใจ และท้อง[2]
วิญญาณที่มีความยุติธรรมก็จะต้องมีทั้งสามส่วนนี้สมดุลกัน แต่ละส่วนมีหน้าที่และเชื่อฟัง
ในส่วนที่ควบคุมเหนือขึ้นไป ได้แก่เหตุผล
เหตุผลจึงเป็นผู้ปกครองอารมณ์
และอารมณ์ก็เป็นส่วนช่วยในการกระทำที่มีเหตุผล เป็นผู้ส่ง
ถ้าส่วนที่อยู่ภายใต้เหตุผล มีอิทธิพลอยู่เหนือจิตวิญญาณ มนุษย์ก็จะอ่อนแอ
และขาดความสมดุลไปในที่สุด ปรัชญาเรื่องนี้
มีความเชื่อมโยงกับแนวความคิดว่าด้วยรัฐ ของโสเครตีส ในความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวรัฐ
เราจำเป็นต้องดูรูปแบบความสัมพันธ์ของวิญญาณและรัฐร่วมกัน ในแง่นี้รัฐ หรือ Polity
คือ วิญญาณในวงกว้างและคนในรัฐคือส่วนย่อยในวงแคบ
เนื่องจากวิญญาณที่สมบูรณ์ยุติธรรม ย่อมปกครองด้วยเหตุผล เช่นเดียวกับแบบที่อมตะ
เป็นที่มาของความรู้ และมีแบบอย่างของความดีงามสูงสุด
ดังนั้นวิญญาณที่เรียนรู้ย่อมมีการดำรงอยู่ที่ดี คือ การไตร่ตรองในรูปแบบของความดี
(Form of the God)
ดังนั้นวิญญาณในระดับของเหตุผลเท่านั้นจึงจะเป็นวิญญาณอันอมตะ ที่มีเจตจำนงอย่างอิสระ
และเป็นรูปแบบสมบูรณ์ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าสร้างขึ้น การซ้อนทับกันของโลกแห่งรูปและโลกของเรา
ซึ่งในโลกแห่งรูป บรรดารูปสมบูรณ์และนามธรรม
อันไม่เปลี่ยนแปลงทั้งหลายจะอยู่ร่วมกันกับวิญญาณอมฤตของมนุษย์
ผู้ใดได้เข้าไปอยู่ในโลกแห่งรูปสมบูรณ์นั้น จะประสบความนิรันดร์ แห่งสรรพสิ่งทั้งปวงและจะเป็นสุขสมบูรณ์
การที่ในชาตินี้ คนเราเห็นสรรพสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป
แต่รู้ว่ามันมีรูปสมบูรณ์ที่คงกระพันนั้น เพลโตว่าเนื่องจากชาติก่อนๆ
เราเคยอยู่ในรูปแห่งรูปสมบูรณ์มาแล้ว
นี่เป็นข้อคิดเกี่ยวกับการระลึกชาติของพวกกรีกอย่างในพระพุทธศาสนา
แต่ในกรีกไม่ได้มีการระบุเรื่องเกี่ยวกับกรรมของส่วนบุคคลแต่อย่างใด
โซเครตีส (Socretes) มีข้อคิดเกี่ยวกับเรื่อวิญญาณ (Soul) ของมนุษย์ว่า
“วิญญาณเป็นสิ่งที่ให้กำเนิดชีวิตและเป็นลมปราณซึ่งเกิดขึ้นเองและเป็นอมฤต” ดังคำสอนของโซเครตีสที่เคยให้ไว้กับชาวเอเธนส์ให้
ระวังรักษาจิตวิญญาณของตนเอง ซึ่งวิญญาณในทัศนะของโซเครตีสนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์
(Divine) ซึ่งผูกพันกับส่วนของมนุษย์ที่เป็นอมตะ
วิญญาณเป็นที่ตั้งของบุคลิกลักษณะ(Character) และความรู้ (Knowledge)ของมนุษย์ ดังเช่นที่ศาสตราจารย์ A.T. Tylor กล่าวว่า
ตามคำสอนของโสเครตีสแล้ว วิญญาณของคนคือ ตัวคนนั้นเอง ต่อมาภายหลังจึงมีความเชื่อว่า
วิญญาณคือสิ่งที่ซึ่งอาศัยร่าง
แนวคิดของอริสโตเติล
ซึ่งมีพ่อเป็นนายแพทย์ของพระเจ้าฟิลิปแห่งรัฐ Macedonia ต่อมาเขาได้กลายป็นอาจารย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
แม้ว่าอริสโตเติลเคยเข้าไปเป็นศิษย์ของเพลโตที่อะคาเดมีก็ตาม
แต่แนวความคิดทางปรัชญาของเขาทั้งสองคนก็มีความแตกต่างกันมาก
ในเรื่องของผัสสะ เพลโตมองว่า “ผัสสะลวงตาเราแต่ความคิดได้ให้ความจริงแก่เรา” และเราสามารถเอาความรู้เหล่านี้ไปขยายเป็นความคิดอื่นๆได้ ในขณะที่อริสโตเติล วิจารณ์ความคิดเรื่องรูปสมบูรณ์ของเพลโต
เขามองว่ามันเป็นเสมือนจินตนาการ หาได้มีอยู่จริงไม่
เขาเชื่อในความมีอยู่ของแต่ละสิ่ง
เมื่อเพลโตพูดถึงเรื่องกุหลาบดอกหนึ่ง
ว่ารูปสมบุรร์ของดอกกุหลาบมีอยุ่จริง แต่ดอกกุหลาบดอกหนึ่งมีอยู่ไม่จริงนั้น
อริสโตเติล แย้งว่า ดอกกุหลาบดอกหนึ่งเป็นของจริง
ส่วนรูปสมบูรณ์ของมันนั้นไม่มีอยู่จริง เป็นจินตนาการหรือความฝันเท่านั้น
จากวิวาทะหรือข้อถกเถียงทางปรัชญาดังกล่าว
นำไปสู่คู่ของความขัดแย้งทางปรัชญาในยุคปัจจุบันหลายประเด็น
ทั้งแนวความคิดเรื่องสสารนิยม (Materialism)
กับจิตนิยม (Idealism) และแนวคิดเรื่องของร่างกาย (Body
) กับจิต (Soul) โดยเฉพาะการแยกระหว่างร่างกายกับจิตของนักปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่อย่าง
เคอเน่ เดคาร์ต (Rene Decart)
ที่ให้ความสำคัญของมนุษย์ที่รู้ได้เอง คิดได้เอง
เพราะมนุษย์คิดได้จึงทำให้มีตัวมนุษย์ หาใช่ความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า
พระวจนะของพระเจ้า หรือเจตจำนงของพระเจ้าแต่อย่างใด
แต่ในประเด็นเรื่องของจิตวิญญาณ
แนวความคิดของกรีกในยุคนั้นก็ก้ำกึ่งกันระหว่างความเชื่อแบบสสารนิยม กับจิตนิยม
และมีความโน้มเอียงไปในทางชีวิตนิยม (Hylozoism) ที่เชื่อว่า มีชีวิตที่ใดก็มีวิญญาณที่นั่น วิญญาณทำให้สิ่งมีชีวิตแสดงออกมาซึ่งกัมมันตภาพหรือกิจกรรม (Activity) วิญญาณของมนุษย์ซึ่งรู้คิด มีเหตุผล เป็นวิญญาณขั้นสูงสุดของชีวิต
ในความเห็นของอริสโตเติล ก็ยังมองว่า พืชก็มีวิญญาณเช่นกัน
นักปรัชญาทั้งสองท่านนี้ จึงไม่ใช่พวก ทวิลักษณ์นิยม (Dualist) ที่มองว่า ร่างกายกับวิญญาณเป็นคนละสิ่งกัน แต่พวกเขามองว่า
เป็นสิ่งเดียวกัน โดยเชื่อว่านามรูปของพระเจ้า
วิญญาณของมนุษย์ก็ต้องอยู่ในร่างมนุษย์ จะอยู่ในร่างสัตว์ไม่ได้
และวิญญาณจะตั้งอยู่เป็นเอกเทศโดยตัวเองไม่ได้
ซึ่งแนวความคิดของอริสโตเติลก็คล้ายๆกับนิพพานทางพระพุทธศาสนา หรือนิรวาณของพราหมณ์ ว่า ธาตุอันสูงส่งในวิญญาณของมนุษย์อันก่อให้เกิดการระลึกเหตุและผลนั้นมาจากภายนอก
แล้วเข้าไปภายใน ธาตุนี้จะยังคงอยู่หลังจากร่างกายดับขันธ์ไปแล้ว
แล้วจะอยู่ในสภาพเป็นบุคคล หรือไปรวมกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
แต่อริสโตเติลไม่ได้กล่าวไว้ตรงๆ เช่นเดียวกับเพลโต ที่เชื่อว่า สรรพสิ่งมีทั้งรูป(โครงสร้าง)และเนื้อ
ของสิ่งเดียวกันต้องมีทั้งรูปและเนื้อตรงกัน เช่น
แจกันและเชิงเทียนทำจากทองเหมือนกัน หากผิดรูปหรือรูปผิดกันก็เป็นของสองสิ่ง รูปและเนื้อนี้แยกออกจากกันไม่ได้ คือ
ไม่มีเนื้อที่ไร้รูป และไม่มีรูปที่ไร้เนื้อ แต่อาจมีรูปที่เนื้อคนละอย่าง
หรืออาจมีเนื้อคนละรูป เป็นต้น
[1]
บางที่แยกออกเป็น จิตวิญญาณที่เป็นลมหายใจ Breath-Soul หรือ
Psyche กับ จิตวิญญาณที่เป็นอมตะ Immortal Soul หรือ
Psyche
[2]
แนวความคิดนี้ได้มาจากโสเครตีส
ที่มองรูปแบบของวิญญาณที่แตกต่างกัน ไม่ได้เหมือนกัน
เขาอาศัยแนวคิดของไพทากอเรียนในตอนแรก โดยมองว่าชีวิตมีสามรูปแบบ
ดังเช่นองค์ประกอบที่ปรากฏในการดูการละเล่นที่วิหารเดลฟี ซึ่งมีผู้ดู ผู้เล่น และมีคนซื้อขายของ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น