ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

งานวิจัยเรื่องเกลือและโพแทช


งานวิจัยที่เกี่ยวกับกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี โครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานี
งานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเกลือและโพแทช มีจำนวนมากมายในเมืองไทย ทั้งอยู่ในรูปของหนังสือ วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ บทความในวารสารต่างๆ ซึ่งผู้ศึกษาได้รวบรวมจำนวนกว่า 40 ชิ้น และข่าวในหนังสือพิมพ์ส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับเรื่องเกลือและโพแทช ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ถึงปัจจุบัน ซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับเกลือและโพแทช โดยผู้ศึกษา ได้วิเคราะห์เนื้อหาของวิทยานิพนธ์แต่ละชิ้น โดยการมองลงไปที่ประวัติศาสตร์ของการศึกษาปัญหา การโต้แย้ง การถกเถียงกันในประเด็นเรื่องของเกลือและโพแทช  เพื่อจะทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจและมองเห็นประเด็นปัญหาสำคัญต่างๆ  รวมทั้งข้อวิจารณ์ ข้อโต้แย้ง หรือสิ่งที่ถูกมองข้ามละเลย ที่พบในงานการศึกษาต่างๆเกี่ยวกับเกลือละโพแทช ซึ่งสะท้อนให้เห็นภาพการจัดการพื้นที่ทางกายภาพ ตั้งแต่การสำรวจของกรมทรัพยากรธรณี จนมาถึงการทำให้พื้นที่ ที่มีทรัพยากรธรรมชาติชนิดนี้ ได้ถูกทำให้กลายเป็นพื้นที่ของการศึกษา และพื้นที่ของการลงทุน  ที่จะนำไปสู่ประเด็นของการสังเคราะห์ข้อมูลทางวิชาการและงานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายนี้
จากข้อมูลต่างๆที่รวบรวมจากเอกสาร หลักฐาน ทางวรรณกรรมเกี่ยวกับเกลือและโพแทช พบว่า ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการศึกษาเรื่องเกลือและโพแทชที่พบ เริ่มตั้งแต่ช่วงปี 2514 ถึงปัจจุบัน ทั้งการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ ทั้งในรูปของหนังสือ วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ งานวิจัย บทความ การรายงานข่าว ซึ่งแบ่งออกเป็นพัฒนาการในแตะละช่วงเพื่อให้มองเห็นภาพรวมในงานแต่ละชิ้นที่ได้นำเสนอเกี่ยวกับเกลือและโพแทช บนข้อถกเถียงและภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดยผู้ศึกษาแบ่งโดยใช้เกณฑ์จากจุดเริ่มต้นของความสนใจเรื่องเกลือในอีสานในช่วงปี พ.ศ.2515 เป็นต้นมา รวมทั้งการสำรวจเกลือหินและโพแทชของกรมทรัพยากรธรณีตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2519 จนกระทั่งการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ในช่วงปี พ.ศ. 2524 และปัญหาเรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ในช่วงปี พ.ศ. 2533 ถึงปัจจุบันได้ดังนี้คือ
1) ในช่วงปี พ.. 2515- 2523 เรียกว่าช่วงของการค้นหาและสร้างองค์ความรู้เรื่องทรัพยากร
เนื้อหาหรือประเด็นในการนำเสนอเรื่องโพแทชและเกลือ เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์ และประวัติศาสตร์ โดยเป็นเอกสารและบทความ ที่เขียนโดยนักธรณีวิทยาและผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูมิศาสตร์เป็นส่วนใหญ่และถูกตีพิมพ์ในวารสารข่าวสารการธรณี ในช่วงปีพ.ศ.2519-2522  ซึ่งนำเสนอเรื่องแหล่งกำเนิดเกลือและโพแทชในภาคอีสาน การสำรวจแร่โพแทชและเกลือหินในภาคอีสานของประเทศไทย ราคาและตลาดแร่โพแทชของโลก  ทฤษฎีการเกิดโพแทชในภาคอีสานที่มองว่าภาคอีสานเคยเป็นทะเลมาก่อน และทำให้มีแร่เกลือหินและโพแทช อยู่ใต้พื้นดินจำนวนมหาศาล บริเวณแอ่งสกลนครและแอ่งโคราช เช่น , โปแตชอยู่หนใด , โปแตชตอนอวสานโดยไสว สุนทโรทก (2521), สถานการณ์ของแร่โปแตชของโลก โดยเอมอร จงรักษ์ (2522) และ ข้อคิดเห็นการกำเนิดเกลือโปแตชในภาคอีสาน โดยณรงค์ ถิรมงคล (2521) เป็นต้น รวมทั้ง รายงานสำรวจเศรษฐกิจและตลาดเกลือในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยหน่วยวิชาการสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (2521) ที่พูดถึงตลาดเกลือ วิธีการผลิตเกลือ และปริมาณการผลิตเกลือในจังหวัดต่างๆของภาคอีสาน ผลการศึกษาพบว่า แหล่งผลิตเกลือเป็นเสมือนตลาดแรงงานของท้องถิ่น ที่ทำให้คนชนบทในท้องถิ่นมีงานทำในฤดูแล้งเพราะการต้มเกลือพื้นบ้านถือว่าเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านหลังฤดูกาลทำนาและเป็นทรัพยากรที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนท้องถิ่นมาก
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพื้นที่ทำการผลิตเกลือซึ่งมีความสัมพันธ์ในเชิงสังคมและวัฒนธรรม เช่น บ่อพันขัน ของพจน์ เกื้อกูล (2518) และ เกลือและการตั้งถิ่นฐานในภาคอีสาน  ของ แวน เลียร์   (2515)   ในวารสารเมืองโบราณที่เป็นการสำรวจหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานและการผลิตเกลือ รวมถึงการปลูกข้าวเป็นต้น ดังนั้นงานเขียนในช่วงนี้มีลักษณะของการตื่นตัวในการสำรวจและค้นพบแหล่งแร่โพแทชและเกลือหิน พร้อมๆกับการขยายตัวของการผลิตเกลือในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถวอำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร และลำน้ำเสียว อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม     ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ ทดแทนการผลิตเกลือจากทะเล ที่มีจำนวนลดน้อยลง เนื่องจากการขยายพื้นที่ทำนากุ้ง และการเปลี่ยนอาชีพของคนทำนาเกลือทำให้ประเด็นเรื่องเกลือกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจพร้อมๆกับการค้นหาและพัฒนาแหล่งแร่ที่มีมูลค่าใต้ดินขึ้นมาใช้ประโยชน์ในอนาคต
2) ในช่วงปีพ..2527-2535 เรียกว่าช่วงของการใช้ประโยชน์และความขัดแย้งเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ
เรื่องของเกลือไม่ปรากฏในงานเขียนระหว่างช่วงปี พ..2523-2526 จนถึงช่วงปี พ..2527 ก็มีงานของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เรื่อง ระบบตลาดและราคาเกลือในประเทศไทย ของ  อัมพัน พักมณี (2515) นอกนั้นก็จะเป็นประเด็นเรื่องของผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการผลิตเกลือเกลือของอีสาน โดยเฉพาะประเด็นของลำน้ำเสียวและพื้นที่อื่นๆที่ทำการผลิต ที่ออกมาในรูปบทความทางวิชาการ เช่น เกลืออีสาน โดยประเสริฐ วิทยารัฐ (2538) ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกำเนิดเกลืออีสาน การผลิตและสภาพปัญหา โดยผู้ศึกษาเห็นว่า ต้องมีการควบคุมการทำเกลือในรูปแบบของน้ำเค็มเหมือนการทำเหมืองโดยทั่วไป และควรส่งเสริมให้มีการผลิตเกลือในอีสานต่อไปแต่ให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยรวมถึงการนำเอาแร่ชนิดอื่นๆเช่นแร่โปแตช ขึ้นมาใช้ประโยชน์ในการผลิตปุ๋ยเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ก็มีรายงานข่าวความเคลื่อนไหว ของการต่อสู้เรียกร้องของชาวบ้านกับนายทุนรวมถึงโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่จะทำให้เกิดการแพร่กระจายของดินเค็มและน้ำเค็ม เช่น ขุมเกลือทองคำขาว เกลือบรบือ โดย อัษฎา วนาทรัพย์ดำรง(2529), ระวังเกลือท่วมประเทศผันนาเกลือมาเป็นเหมืองโปแตช โดยบุญชัย เจียมจิตจรุง (2534),  บทความอุทกวิทยาภาคอีสาน ดินเค็มผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของสมชัย วงศ์สวัสดิ์และสมเจตต์ จุลวงษ์ (2532), ดินเค็มในภาคตะวันนออกเฉียงเหนือ  สภาพปัญหาและมาตรการในการทำเกลือในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยพงษ์เทพ จารุอำพรรณ (2534) ที่กล่าวถึงสาเหตุการลักลอบทำเกลือโดยผิดกฎหมายโดยใช้น้ำเกลือจากใต้ดิน ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้เกลือในการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันและใช้ในทางอุตสาหกรรมมากขึ้น อันนำไปสู่การแสวงหาแหล่งผลิตใหม่ๆเพื่อใช้ในการผลิตเกลือและนำออกมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันและในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีเกลือหินใต้ดินปริมาณมหาศาล ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ดิน และน้ำ รวมถึงการประกอบอาชีพเกษตรกรรมของชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งผลจากการผลิตเกลือสมุทรในภาคกลางและภาคตะวันออกและรวมถึงเหมืองเกลือละลายของจังหวัดนครราชสีมาไม่สามารถตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมได้ ผู้เขียนได้เสนอว่าควรมีการควบคุมการทำเกลือลักษณะดังกล่าว โดยแทนที่ด้วยการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกลือเต็มรูปแบบในลักษณะของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพื่อใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและป้องกันผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันด้วย นอกจากนี้ ยังมีเอกสารรวบรวมการประชุมสัมมนาเรื่อง ดินเค็มผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติภาคอีสาน และผลประโยชน์มหาศาลชาวบ้านไม่ได้ครอบครอง โดยมูลนิธิฟริดิกนามันและกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน(2533) ที่จัดขึ้นที่สถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้นำเสนอประเด็นปัญหาเรื่องลำน้ำเสียว และการลักลอบทำเกลือแบบผิดกฎหมาย ที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและพื้นที่ทำการเกษตร แหล่งน้ำในพื้นที่จังหวัดมหาสารคามที่ควรจะต้องมีการยับยั้งหรือยุติกิจกรรมดังกล่าว
ในอีกด้านหนึ่งก็มีการพูดถึงความหมายของเกลือในฐานะของวัตถุเพื่อสุขภาพ เช่น เมื่อเกลือไม่ใช่แค่เพียงเกลือของ แก้ว กังสดาลอำไพ(2534) ในวารสารหมอชาวบ้าน สถาบันวิจัยด้านโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่สัมพันธ์กับการส่งเสริมการบริโภคเกลือไอโอดีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในการป้องกันโรคคอพอก  โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่อยู่ห่างไกลจากทะเล ทำให้ได้รับอาหารที่มีธาตุไอโอดีนน้อย จึงได้  มีการส่งเสริมการผลิตเกลือผสมไอโอดีน โดยกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลในคอลัมน์เจาะตลาดธุรกิจก้าวหน้า (2535) เรื่อง เกลือปรุงทิพย์ บุกตลาด เน้นจุดขาย มีธาตุไอโอดีนเป็นส่วนผสม ที่สะท้อนให้เห็นการก้าวเข้ามาในระบบธุรกิจเกลือเพื่อสุขภาพ ที่วางจำหน่ายในรูปของผลิตภัณฑ์การบรรจุหีบห่อที่สวยงามมีราคาแพงกว่าเกลือทั่วไป และวางจำหน่ายในซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อเจาะตลาดชนชั้นกลางในเมืองทั่วประเทศ ของบริษัทเกลือปรุงทิพย์จำกัด ที่ผลิตเกลือแบบเหมืองละลาย ที่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และเป็นเหมืองเกลือขนาดใหญ่แรกๆของภาคอีสานที่มีลักษณะเป็นเหมืองแบบละลายก่อนจะเกิดการพัฒนาเหมืองอุโมงค์ของการขุดเจาะเหมืองแร่โพแทชที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
โดยในช่วงนี้เอกสาร บทความ งานวิจัยต่างๆเกี่ยวกับเกลือและโพแทช จะเน้นไปที่ความสำคัญของเกลือใต้พื้นดิน ที่เป็นเหมือนขุมทรัพย์ทองคำขาวที่ถูกนำมาใช้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจซึ่งมีการเพิ่มพื้นที่การผลิตและผลิตกันจำนวนมากในช่วงปี พ.ศ.2516 เป็นต้นมา หลังจากมีการค้นพบว่าใต้พื้นดินอีสานมีชั้นเกลือหินอันมหาศาลทับถมกันอยู่ พร้อมกับประเด็นในเรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น จากการผลิตเกลือในเขตต่างๆของภาคอีสาน โดยเน้นไปที่ประเด็นเรื่องของลำน้ำเสียว ที่มีผู้คนคัดค้านและเคลื่อนไหวต่อสู้ในพื้นที่ โดยเฉพาะชาวนา และการเชื่อมโยงเครือข่ายของการศึกษาระหว่างนักวิชาการ นักศึกษาและชาวบ้าน เช่นคณะกรรมติดตามผลการสัมมนาปัญหาดินเค็มกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นต้น รวมถึงประเด็นใหม่ในการเปลี่ยนสภาพของเกลือจากวัตถุในเชิงพาณิชยกรรมและวัตถุเพื่อการผลิตทางอุตสาหกรรมกลายมาเป็นวัตถุดิบเพื่อสุขภาพ ผนวกกับการประกอบธุรกิจของกลุ่มทุนที่มีเทคโนโลยีและมีทุนขนาดใหญ่ขึ้น เช่น บริษัทพิมาย ซอลต์ จำกัด ที่นำเทคโนโลยีการทำเหมืองแร่แบบละลายเข้ามาใช้และมีการนำมาผลิตเป็นเกลือเพื่อการบริโภคเป็นเกลือบริสุทธิ์ที่มีส่วนผสมของธาตุไอโอดีนและวางจำหน่ายแบบเจาะกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นผู้บริโภคอย่างกว้างขวางมากขึ้นและส่งผลให้การผลิตเกลือแบบพื้นบ้าน และแบบอุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็ก ที่ผลิตเกลือแบบต้มและตาก กลายเป็นวัตถุดิบที่ถูกใช้ในอุตสาหกรรมเป็นหลัก
3) ในช่วงปี 2536-2544 เรียกว่าเป็นช่วงของการพัฒนาและการจัดการในเชิงพาณิชย์
ประเด็นเกี่ยวกับเกลือและโพแทช สะท้อนในรูปแบบของการศึกษาแบบวิทยานิพนธ์มากที่สุด เช่น ผลกระทบต่อภูมิทัศน์วัฒนธรรมลำน้ำเสียวในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ในการใช้ที่ดิน ในเขตอำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม โดย วนมพร พาหะนิชย์ (2538) ที่สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะการใช้ที่ดินเพื่อการผลิตเกลือเพื่อการค้าในเขตลำน้ำเสียว จังหวัดมหาสารคาม เช่นเดียวกับการศึกษาเรื่อง ผลกระทบจากการผลิตเกลือสินเธาว์บ้านดุง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ของ เพชร สุพัตกุล (2542) ได้ศึกษาผลกระทบจากการผลิตเกลือแบบต้มและแบบตากที่บ้านดุง แม้ว่าการผลิตเกลือจะมีผลกระทบกับพื้นที่ทางการเกษตรดินเค็มและน้ำเค็ม แต่ก็ชี้ให้เห็นว่าการผลิตเกลือยังมีผลกระทบในทางบวกคือ คนมีรายได้จากการประกอบอาชีพต้มเกลือและเป็นแรงงานรับจ้างทำให้เศรษฐกิจในชุมชนขยายตัว ซึ่งสอดคล้องกับงานศึกษาเรื่อง บ่อเกลือบ้านท่าสะอาด กับวิถีชีวิตของชาวลุ่มน้ำสงคราม กรณีศึกษาบ้านท่าสะอาด อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย  ของ กุสุมา หงษ์ชูตา (2544) ได้สะท้อนให้เห็นแง่มุมทางวัฒนธรรมของการผลิตเกลือที่บ้านท่าสะอาด ทั้งในแง่พิธีกรรมเกี่ยวกับเกลือที่บ่อหัวแฮด การค้าขายเกลือระหว่างชุมชนรวมทั้ง การประกอบอาชีพเกี่ยวกับเกลือ ซึ่งผู้เขียนเสนอว่า ควรมีการปรับปรุงคุณภาพ และการบรรจุผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นสินค้าของชุมชนรวมถึงการสร้างการประชาสัมพันธ์ให้คนรับรู้และทำให้เป็นพื้นที่ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับเกลือและวิถีชีวิตของคนในชุมชน  หรืองานศึกษานโยบายสาธารณะของการผลิตเกลือ เรื่องแนวทางการจัดการอุตสาหกรรมเกลือสินเธาว์แบบยั่งยืน กรณีศึกษาอำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี  ของ สุชาติ สุขสะอาด (2544) ที่วิเคราะห์ในเชิงของนโยบายและแผนการพัฒนาประเทศไทยที่ไม่สอดคล้องกับการผลิตเกลือสินเธาว์ โดยผู้เขียนสรุปว่ารัฐควรที่จะสนับสนุนประกอบอุตสาหกรรมเกลือสินเธาว์เพราะเป็นอาชีพของคนในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกลือต้มที่ใช้พื้นที่น้อยและสามารถสูบน้ำเกลือใต้ดินได้ตลอดเวลาและควรจะจัดการในรูปแบบของประปาน้ำเกลือเพื่อจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการโดยองค์กรส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและการจำหน่ายซึ่งก่อให้เกิดรายได้สำหรับการพัฒนาท้องถิ่นด้วย
หรืองานศึกษาเรื่อง การศึกษากระบวนการยอมรับเทคโนโลยีการผลิตเกลือของบ้านหนองกวั่ง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนค  โดยกาญจนา อุทัยเลี้ยง (2546) ที่ศึกษาเงื่อนไขการยอมรับเทคโนโลยีของชาวบ้าน ในเทคโนโลยีเตาต้มเกลือแบบท้องเผาไหม้เดี่ยวและเผาไหม้คู่ที่ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิงของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อลดต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ รองลงมาก็เป็นข่าวและบทความ ที่เป็นเรื่องของผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตเกลือทำให้เกิดปัญหาดินเค็ม การปนเปื้อนของน้ำเค็มลงสู่แหล่งน้ำเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างชาวบ้านกับนายทุนและชาวบ้านกับชาวบ้านด้วยกัน  เช่น คำถามถึงภูเขาเกลือผันน้ำมาละลายภูเขาเกลือ โดย วีระ สุดสังข์ (2537) , พลิกปูมศึกสามเส้าแอ่งเกลือบ้านม่วง วานรนิวาส สกลนคร ของหนังสือพิมพ์มติชน (2538) รวมทั้งการนพเสนอประเด็นเรื่องเกลือพื้นบ้านในฐานะของภูมิปัญญาท้องถิ่นและอาชีพเสริมหลังฤดูการทำนา เช่น บทความชีวิตสาวนาเกลือบ้านหาดยาว ต้มดินให้เป็นเกลือ อาชีพที่ไม่ต้องมีทุนรอน โดยชูชีพ ดำรงสันติสุข (2538) และ  ต้มเกลือสินเธาว์ที่หนองเค็ม ภูมิปัญญาชาวบ้านอันล้ำค่า  โดย ประสาท สายดวง (2540) เป็นต้น
สุดท้ายรายงานการวิจัยเกี่ยวกับหน่วยงานของรัฐเรื่องของเศรษฐกิจและการพัฒนาอุตสาหกรรม เช่น  ความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกลือสินเธาว์อำเภอบ้านดุง โดย อานนท์ เศรษฐเกรียงไกรและคณะ (2536) และ การผลิตและการตลาดเกลือของประเทศไทย โดย กองวิจัยการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2538) ที่ศึกษาราคาของเกลือและปริมาณการใช้เกลือและความต้องการเกลือของประเทศที่มีเพิ่มสูงมากขึ้น โดยเฉพาะเกลือสินเธาว์ที่มีค่าโซเดียมคลอไรค์สูงกว่า และนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมได้ดีกว่า มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าและผลผลิตมากกว่าเกลือสมุทร แต่ในขณะเดียวกันก็มีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมมากกว่า สำหรับปัญหาในอนาคตก็คือการเกิดโครงการเหมืองแร่โพแทช ที่จะทำให้มีปริมาณเกลือออกสู่ตลาดมากขึ้น ดังนั้นจะต้องมีการควบคุมการผลิตเกลือสินเธาว์เพื่อช่วยเหลือชาวนาเกลือสมุทรที่อาจจะได้รับผลกระทบ
ประเด็นเกี่ยวกับเกลือและโพแทชในงานศึกษาต่างๆข้างต้น จะเห็นได้ว่าในช่วงนี้ประเด็นของเกลือและโพแทชมีความหลากหลาย ทั้งในแง่ของการจัดการเชิงธุรกิจ การพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตไม่ว่าจะเป็นวิธีการผลิต เชื้อเพลิงในการผลิตเพื่อประหยัดต้นทุนในการผลิต ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตและ ความขัดแย้งในการผลิตเกลือระหว่างชาวบ้าน ผู้ผลิตเกลือและเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมทั้งเรื่องทางสังคม วัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เป็นเรื่องของภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ เศรษฐกิจระดับชุมชนซึ่งเกิดจากการผลิตเกลือสินเธาว์ซึ่งเป็นอาชีพเสริม รวมถึงนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจากการทำเกลือ ไม่ว่าจะเป็นโครงการการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกลือที่บ้านดุงแสดงให้เห็นแนวความคิดที่ค่อนข้างสอดคล้องกันในประเด็นเกี่ยวกับการจัดการและการใช้ประโยชน์จากเกลือและโพแทช ที่ควรมีการนำมาใช้ประโยชน์ควบคู่ไปกับมาตรการการป้องกันผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมเพราะเกลือเป็นวัตถุที่มีมากมายมหาศาลและมีราคาสูง ในทางอุตสาหกรรม เพื่อสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจและพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ
4) ในช่วงปี 2545ถึงปัจจุบัน เรียกว่าช่วงของการวางแผนนโยบายการจัดการทรัพยากรแร่ธาตุอย่างยั่งยืน
การศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับเกลือ สะท้อนออกมาเกี่ยวกับประเด็นเรื่องของการจัดการและนโยบายสาธารณะมากที่สุด โดยเฉพาะ ในงานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัย นักวิชาการในมหาวิทยาลัย และนักพัฒนาเอกชน ซึ่งต้องการแสวงหาทางออกในประเด็นปัญหาของเรื่องเกลือและโพแทช ซึ่งกำลังขัดแย้งอย่างรุนแรงในพื้นที่ เช่น งานวิจัยโครงการจัดการทรัพยากรเกลือ ดินเค็มและน้ำเค็มแบบยั่งยืนในภาคอีสานตอนบน ของอ.ประสิทธิ์ คุณุรัตน์และคณะ(2550) โดยเป็นงานวิจัยระยะยาวต่อเนื่องระหว่างปี 2545ถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างคณะเทคโนโลยีธรณี และคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิยาลัยขอนแก่น โดยได้รับการสนับสนุนด้านทุนจากกรมทรัพยากรธรณี ซึ่งเป็นเรื่องของการวางแผน การกำหนดยุทธศาสตร์ในการจัดการทรัพยากรดินเค็มและน้ำเค็มภาคอีสานให้สอดคล้องกับสภาพของแต่ละพื้นที่โดยข้อสรุปก็คือควรส่งเสริมการศึกษาเพื่อหาแนวทางนำเกลือที่มีอยู่ในภูมิภาคปริมาณมหาศาลมาใช้ประโยชน์ โดยให้มีผลกระทบน้อยที่สุดเพื่อเป็นสินค้าส่งออกในอนาคต หรือ งานวิจัยเรื่องการบริหารจัดการบ้านเมืองและสังคมที่ดี ด้านสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของประชาชนกรณีโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ โดยมีกรณีปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น 4 กรณี ในประเทศไทย อาทิเช่น โครงการท่อก๊าซไทยมาเลเซีย โครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอกหินกรูด  โครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานี เป็นต้น ที่ศึกษาโดยสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2548) โดยมีประเด็นปัญหาที่เกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี ที่ให้ข้อเสนอเกี่ยวกับแนวทางการบริหารบ้านเมืองและสังคมในด้านสิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยวิพากษ์เกี่ยวกับกลไกลของรัฐในการจัดการทรัพยากร ทั้งในเรื่องของกฎหมายแร่ รัฐธรรมนูญ สัญญา รายงานการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม รวมถึงนโยบายของรัฐบาล โดยเสนอนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับการจัดการเกลือแบบต่างๆและโพแทชให้มีความสมดุลกัน โดยเฉพาะการผลิตเกลือแบบพื้นบ้านและเกลือแบบอุตสาหกรรมแบบต้มและตาก โดยไม่ให้โครงการเหมืองแร่โพแทชสร้างผลกระทบกับอุตสาหกรรมเกลือพื้นฐานขนาดอื่นๆจากปริมาณเกลือจำนวนมหาศาลที่เป็นผลพลอยได้จากการผลิตโพแทช ส่งผลให้เกลือล้นตลาด เป็นต้น  รวมทั้งงานของ สุภาพร ดารักษ์ (2550) เรื่องกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการทรัพยากรแร่ธาตุ ศึกษากรณีโครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี ก็ได้ชี้ให้เห็นกระบวนการมีส่วนร่วมของชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในการต่อสู้เคลื่อนไหวและเรียกร้องสิทธิในความเป็นเจ้าของพื้นที่และทรัพยากร ตั้งแต่การใช้ช่องทางของกฏหมายการยื่นหนังสือ การเดินรณรงค์ การขึ้นป้ายคัดค้านโครงการ การผลักดันให้มีการจัดตั้งคณะทำงานศึกษาปัญหาและอื่นๆ ซึ่งทำให้ประเด็นปัญหาเรื่องโครงการเหมืองแร่โพแทช รับรู้สู่สาธารณะในวงกว้างและนำไปสู่การศึกษาหาแรวทางแก้ไขปัญหาของภาคส่วนต่างๆ
ในช่วงเวลาที่เรื่องของเหมืองแร่โพแทชได้เริ่มเป็นที่รับรู้และสนใจอย่างกว้างขวางมากขึ้น ได้เกิดการศึกษาในประเด็นนโยบายสาธารณะและกฏหมาย การต่อสู้เคลื่อนไหว โดยใช้วัฒนธรรม (กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมและเอ็นจีโอ รวมทั้งนักศึกษาที่เขามาเรียนรู้) รวมทั้งเรื่องประเด็นการทำ HIA การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ ประเด็นเรื่องเหมืองแร่ ความรู้และการปฏิบัติ ของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ งานวิจัยและศึกษาของสถาบันราชภัฏอุดรธานี ที่พานักศึกษาลงชุมชนและเรียนรู้ร่วมกับชาวบ้าน งานศึกษาและงานวิจัยที่น่าสนใจในช่วงเวลานี้ที่สอดคล้องกับเรื่องของการบริหารจัดการเชิงนโยบายเกี่ยวกับทรัพยากรแร่ธาตุใต้พื้นดินโดยเฉพาะเกลือและโพแทชออกมามากมาย โดยเริ่มตั้งแต่การเปิดเวทีทางวิชาการเกี่ยวกับเหมืองแร่โพแทชในสถาบันการศึกษาท้องถิ่นและเปิดให้เป็นประเด็นสาธารณะกว้างขวางในสถาบันการศึกษาส่วนกลาง
งานที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งคือหนังสือที่สรุปจากการสัมมนาโครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี ปัญหาและแนวทางแก้ไขของธงชัย พรรณสวัสดิ์และคณะ (2546) ที่มีประเด็นเกี่ยวกับความคิดเห็นต่อโครงการเหมืองแร่โพแทชของผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการในมหาวิทยาลัยและผู้เกี่ยวข้องแขนงต่างๆ โดยในเอกสารฉบับนี้แบ่งออกเป็น 6 ส่วนคือ
ส่วนแรกของหนังสือ คือบทความการบรรยายพิเศษ เรื่องทรัพยากรธรรมชาติของไทย มิติของการจัดการที่ยั่งยืน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ที่พูดถึงภาระหน้าที่ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการจัดการการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ในด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยการยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
 ส่วนที่สอง เป็นเรื่องของความเป็นมาและสถานะของโครงการตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันโดยตัวแทนบริษัทเอเชียแปซิฟิกโปแตชคอร์เปอร์เรชั่นที่จะเข้ามาดำเนินการทำเหมืองในพื้นที่และนักธรณีวิทยาของมหาวิทยาลัย มหิดลที่เคยเป็นหัวหน้าทีมคณะสำรวจแร่โพแทชและเกลือหินในภาคอีสาน รวมทั้งกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ที่มีหน้าที่ในการออกอาชญาบัตรและประทานบัตรในการสำรวจพัฒนาแหล่งแร่และสร้างโรงงานเหมืองแร่ เนื้อหาทั้งสามส่วนมีความสัมพันธ์กันในแง่ของการสำรวจพบแหล่งแร่โพแทชในภาคอีสานโดยกรมทรัพยากรธรณี เมื่อปีพ.ศ. 2516 -2519 ก่อนที่จะเปิดให้บริษัทเอกชนมาลงทุนสำรวจต่อ เพื่อทำการผลิตในเชิงพาณิชย์ เมื่อปี พ.ศ.2527 ก่อนที่บริษัทเอเชีย แปซิฟิกโปแตช คอร์เปอร์เรชั่น จะยื่นขอประทานบัตรสำหรับสร้างโรงงานต่อกระทรวงอุตสาหกรรม ตามพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535
ส่วนที่สาม เป็นการทบทวนรายงานการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โดยนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ สถาบันราชภัฎอุดรธานี คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ได้ให้ข้อมูลในเรื่องของปัญหาในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ ในประเด็นผลกระทบทางด้านกายภาพ เช่น แผ่นดินทรุดตัว การแพร่กระจายของดินเค็ม น้ำเค็ม ประเด็นทางเศรษฐกิจ ในเรื่องของผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียม ระหว่างรัฐบาล บริษัทข้ามชาติ และคนในพื้นที่ รวมทั้งการประเมินความเสี่ยงหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และปัญหาทางด้านสังคมและวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ที่ไม่สามารถวัดออกมาเป็นมูลค่าได้ และการไม่มีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ในการจัดทำรายงานฉบับนี้
ส่วนที่สี่ เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกฎหมายแร่ สัญญาที่เกี่ยวข้อง การมีส่วนร่วมของประชาชน การจัดการความขัดแย้ง และบทบาทของนักวิชาการและสถาบันท้องถิ่น โดยสภาทนายความ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ สถาบันไทยคดีศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาคมส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมวุฒิสภา เป็นการนำเสนอประเด็นทางกฎหมายโดยเฉพาะเรื่องแดนกรรมสิทธิ์ ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างรัฐและชาวบ้าน การดำเนินกิจกรรมของบริษัทเพื่อผลทางธุรกิจ ซึ่งจะนำมาสู่ความแตกแยกระหว่างชาวบ้านในชุมชน รวมทั้งการปิดปังข้อมูลข่าวสารกับคนในพื้นที่ ที่ถูกกีดกันออกจากกระบวนการพัฒนาดังกล่าว
ส่วนที่ห้าเป็นเรื่องนโยบายของรัฐซึ่งนำเสนอโดยที่ปรึกษาวิชาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ได้ชี้ให้เห็นเรื่องของการจัดการบริหารแบบองค์รวม  เพื่อสร้างการจัดการแร่อย่างยั่งยืนในลักษณะของการอนุรักษ์ควบคู่กับการใช้ประโยชน์และไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนและหลักธรรมมาภิบาลเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุด
ส่วนสุดท้าย เป็นข้อสรุปการสัมมนาและข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะจากการประชุมเพื่อสรุปองค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเกลือและโพแทชบนแผ่นดินอีสานและเป็นแนวทางหนึ่งในการพิจารณาความคุ้มค่า ผลดี ผลเสีย ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เพื่อการตัดสินใจในนโยบายพัฒนาของรัฐและกลุ่มทุนที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่
ประเด็นของหนังสือดังกล่าวทำให้เกิดการเชื่อมโยงปัญหาเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติกับแนวนโยบายการพัฒนาของภาครัฐและเอกชนที่จะต้องทำให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ซึ่งนำไปสู่การศึกษาและวิจัยในประเด็นที่เป็นปัญหาและข้อเสนอแนะจากเวทีสัมมนานั้นในแง่มุมต่างๆที่หลากหลายที่ทำการศึกษาโดยองค์กรพัฒนาเอกชนและนักวิจัยในมหาวิทยาลัยหรือนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในเวลาต่อมาอีกหลายชิ้น
 งานวิจัยวิเคราะห์นโยบายสาธารณะกรณีศึกษา เกี่ยวกับการจัดการเกลืออีสาน วิถีชุมชน สู่อุตสาหกรรม  โดย เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์และเบญจรัตน์ เมืองไทย (2548) ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของนโยบายการจัดการทรัพยากรเกลือเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนและสอดคล้อง โดยเชื่อมโยงให้เห็นความสำคัญของเกลือในอุตสาหกรรมต่างๆและการเข้ามาของทุนข้ามชาติที่จะทำให้เกลือแบบพื้นบ้านและเกลืออุตสาหกรรมของคนในพื้นที่หมดสิ้นไป โดยเฉพาะเกลือแบบอุตสาหกรรมในพื้นที่เพราะใช้ต้นทุนต่ำและทำลายสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศน์อย่างมาก อีกทั้งนโยบายของรัฐบาลที่โอบอุ้มกลุ่มทุนข้ามชาติและกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในประเทศและต่างประเทศ ในการเข้ามาใช้ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศและทำลายธุรกิจเกลือในระดับท้องถิ่นให้หมดสิ้นไปจากตลาดการค้าเกลือ โดยงานวิจัยชิ้นนี้เป็นการเชื่อมโยงให้เห็นเรื่องของวัฒนธรรมการทำเกลือแบบพื้นบ้านที่เกลือได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับอุตสาหกรรมเหมืองแร่โพแทชขนาดใหญ่และเป็นประเด็นทางวัฒนธรรมพื้นบ้านที่ถูกนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโครงการเหมืองแร่โพแทชในแง่มุมเกี่ยวกับพัฒนาการและประวัติศาสตร์เกลือในภาคอีสานรวมถึงนโยบายสาธารณะที่รัฐพยายามเข้าไปควบคุมจัดการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในอนาคต
เช่นเดียวกับวิทยานิพนธ์เรื่องเกลือและโพแทช:ภาษาความรู้และอำนาจในการจัดการทรัพยากร ธรรมชาติใต้พื้นดินอีสาน กรณีศึกษาโครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานีของ นัฐวุฒิ สิงห์กุล (2550) ผู้ศึกษาอธิบายเรื่องเกลือและโพแทช ในมิติที่หลากหลาย ภายใต้การสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับเกลือและโพแทช ทั้งในแง่ของการพัฒนา เรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เรื่องสิ่งแวดล้อม หรือเรื่องทางวัฒนธรรม  สิ่งที่ปรากฏก็คือ ความรู้เหล่านี้ไม่ได้ผูกขาดอยู่ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างเดียวแต่มีความหลากหลาย เพราะแต่ละฝ่ายต่างพยายามสร้างให้วาทกรรมของตัวเองมีความชอบธรรมและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ผ่านการต่อรอง การปะทะ ประสานกันบนเวทีสัมมนาเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเรื่องของเกลือและโพแทช ที่สร้างให้เรื่องของเกลือและโพแทช ถูกกล่าวถึงในพื้นที่ทางสังคม
นอกจากนี้วิทยานิพนธ์เล่มนี้  ได้สืบค้นร่องรอยของความรู้ และความจริงเกี่ยวกับเกี่ยวกับเรื่องเกลือและโพแทช โดยสืบค้นให้เห็นการปะทะกันของวาทกรรมในความสัมพันธ์ของอำนาจและความรู้ จากเนื้อหาและความจริงเกี่ยวกับเรื่องเกลือที่วาทกรรมชุดต่างๆก่อตัวขึ้นมา และแย่งชิงพื้นที่ของความหมายและความจริงเกี่ยวกับเรื่องเกลือและโพแทช  เช่นเรื่องของโครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานี กับเกลือแบบพื้นบ้าน และเกลืออุตสาหกรรมท้องถิ่น หรือ ความรู้ทางวิศวกรรมเหมืองแร่ กับตำนานพื้นบ้าน ผาแดงนางไอ่  ที่ปะทะต่อรองกันอยู่ในพื้นที่ และพยายามสร้างการยอมรับกับคนกลุ่มต่างๆ เพื่อสร้างอำนาจ ความชอบธรรมในการจัดการทรัพยากรแร่ธาตุ วิทยานิพนธ์ชิ้นนี้ แม้ว่าจะไม่มีทางออกต่อปัญหาเรื่องนี้ แต่สาระสำคัญที่บอกให้เห็นก็คือ การจัดการองค์ความรู้เกี่ยวกับเกลือและโพแทช  สามารถอธิบายผ่านการทำความเข้าใจวาทกรรม ที่เป็นเรื่องของการให้ความหมาย การสร้างความจริง และความรู้ ได้มากกว่าเรื่องของเกลือที่เป็นวัตถุที่บริโภคเท่านั้น แต่เกลือได้กลายมาเป็นประเด็นปัญหาของการศึกษาและการกล่าวถึง โดยคนกลุ่มต่างๆไม่ว่าจะเป็นนักธรณีวิทยา นักนักเศรษฐศาสตร์  นักวิชาการส่วนกลางและท้องถิ่นและชาวบ้าน เพื่อสร้างอำนาจ ความรู้และความจริงเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติเกลือและโพแทชใต้พื้นดินอีสาน ประเด็นในเรื่องของการต่อสู้เคลื่อนไหวโดยใช้วาทกรรมเรื่องของเกลือพื้นบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่นและตำนานพื้นบ้านมาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้เรียกร้องสิทธิในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติใต้พื้นดินในงานชิ้นนี้ สอดคล้องกับงานศึกษาวิจัยเรื่องขบวนการชาวบ้านคัดค้านเหมืองโพแทชบนผืนแผ่นดินอีสาน โดยฐากูร สรวงศ์สิริเขียน มณีมัย ทองอยู่ บรรณาธิการ(2554) ที่ชี้ให้เห็นกระบวนการต่อสู้เคลื่อนไหวของชาวบ้านในพื้นที่ ตั้งแต่พัฒนาการของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมื่อบริษัทเข้ามาดำเนินการ ทำรายงานการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและเตรียมการขอประทานบัตรเพื่อสร้างโรงงาน จนเกิดการรวมตัวกันต่อสู้ของชาวบ้านในพื้นที่ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การใช้ช่องทางการทางการเมืองและกฏหมาย ผ่านการยื่นหนังสือ การเดินขบวนเรียกร้องสิทธิ การสร้างเครือข่าย การตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหากรณีเหมืองแร่โพแทช จนถึงการใช้เรื่องของวัฒนธรรมในการเคลื่อนไหว เช่น การเดินรณรงค์บอกข่าว  การทำจดหมายข่าวชุมชนคนฮักถิ่น การใช้สื่อวิทยุชุมชนเพื่อบอกข่าวสาร การจัดประเพณีบุญกุ้มข้าวใหญ่ การทำนารวมเพื่อระดมทุนในการต่อสู้ การใช้วัฒนธรรมหมอลำพื้นบ้านบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการและการใช้ตำนานความเชื่อท้องถิ่นในการต่อสู้กับกลุ่มทุนข้ามชาติ  กระบวนการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นการใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านในการต่อสู้เคลื่อนไหวและเป็นวิธีการรื้อฟื้นประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่อยู่บนพ้นฐานของสายสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติ การช่วยเหลือเกื้อกูลและความสามัคคีกัน รวมทั้งตอกย้ำให้เห็นความสำคัญของวิถีเกษตรกรรมที่กำลังถูกคุกคามด้วยระบบการผลิตแบบอุตสาหกรรมที่แยกชาวบ้านออกจากการพึ่งตัวเองและเน้นที่การพัฒนาเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
สิ่งที่น่าสนใจในงานชิ้นนี้ก็คือการสรุปให้เห็นว่า การต่อสู้ของชาวบ้านในพื้นที่กับอำนาจรัฐ ไม่สามารถยึดแนวทางหรือรูปแบบการต่อสู้แบบหนึ่งแบบใดที่ตายตัวได้ แต่กระบวนการต่อสู้ของชาวบ้านต้องใช้ยุทธวิธีที่หลากหลายและปรับไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างอำนาจในการตอบโต้ ต่อรอง คัดคานและประนีประนอมระหว่างชาวบ้านกับรัฐ กลุ่มทุนข้ามชาติและกระแสโลกาภิวัตน์รวมทั้งชาวบ้านในพื้นที่ด้วยกันเอง งานชิ้นนี้สอดคล้องกับงานศึกษาในเชิงรัฐศาสตร์การเมืองว่าด้วยการเคลื่อนไหวภาคประชาชน ของ วิเชียร บุราณรักษ์ (2548) เรื่อง ขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชน ศึกษากรณีกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ที่ผู้ศึกษาเน้นศึกษาการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี โดยชี้ให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นมาจากปัญหาในเชิงโครงสร้าง อันเนื่องมาจากแนวนโยบายและการดำเนินการพัฒนาของภาครัฐ ที่เน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งกระบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี  จะใช้รูปแบบที่หลากหลาย ทั้งกลยุทธ์ทางการเมือง และกลยุทธ์แบบชุมชนนิยม การใช้วัฒนธรรมชุมชนในการเคลื่อนไหว การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ การต่อสู้ทางด้านกฎหมายและนโยบายกับภาครัฐ และกลยุทธ์การแสวงหาเครือข่ายพันธมิตรในพื้นที่และนอกพื้นที่ โดยรูปแบบของการต่อสู้จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และการตอบโต้ของกลุ่มเป้าหมาย (ในที่นี้หมายถึงบริษัทข้ามชาติ กลุ่มสนับสนุนหรือรัฐที่อยู่ตรงกันข้ามกับกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี) ที่นำไปสู่การแสวงหาทางออก และการแย่งชิงพื้นที่ทางความคิด สิ่งที่น่าสนใจในงานชิ้นนี้คือ ได้ชี้ให้เห็นปัญหาและอุปสรรคของการเคลื่อนไหวที่มีสาเหตุจากปัจจัยภายในกลุ่ม เช่น  ขบวนการเคลื่อนไหวยังขาดแคลนผู้นำ และสมาชิกที่เข้มแข็งและมีความหลากหลาย ขาดแนวคิดที่ชัดเจนในกระบวนการเคลื่อนไหวต่อสู้ รวมทั้งปัญหาในการขยายฐานมวลชนให้มากขึ้น ส่วนปัญหาที่มาจากปัจจัยภายนอกนั้นส่วนใหญ่มาจากเรื่องของระบบการเมืองกระแสหลักที่ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งและระบบการเมืองแบบตัวแทน การสังกัดพรรคการเมือง ทำให้ผู้แทนราษฎรในพื้นที่ไม่สามารถออกมาแสดงบทบาทที่ชัดเจนร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ปัญหา รวมทั้งสื่อกระแสหลักยังให้ความสนใจน้อย เมื่อเทียบกับสื่อท้องถิ่น ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลกรณีปัญหาของชาวบ้านอยู่ในวงแคบไม่เป็นที่รับรู้ของสาธารณะมากนัก
สิ่งที่งานชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นที่สอดคล้องกับงานของนัฐวุฒิ สิงห์กุล และฐากูร สรวงสิริ ก็คือ การพูดถึงการใช้วัฒนธรรมและพิธีกรรมท้องถิ่นเป็นเครื่องมือในการต่อสู้  ถือเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่แสดงให้เห็นอำนาจที่อยู่ในมือของชาวบ้านที่ไม่ใช่เครื่องมือของอำนาจทางการเมืองกระแสหลักที่ชาวบ้านเข้าถึงได้ยากกว่า การต่อสู้ของชาวบ้านในพื้นที่ด้วยขบวนการดังกล่าวจึงเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่ แสดงให้เห็นบทบาทสิทธิทางการเมือง การมีส่วนร่วมในการพัฒนา เพื่อแสดงตัวตน และความคิดในการแย่งชิงพื้นที่ของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติรวมทั้งการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของตัวเอง ในงานชิ้นนี้พยามตอกย้ำให้รัฐให้ความสนใจและเปิดพื้นที่สาธารณะให้ขบวนการเคลื่อนไหวเหล่านี้ให้มากขึ้น โดยประเด็นสำคัญที่งานชิ้นนี้ได้สรุปอย่างน่าสนใจและแตกต่างจากการศึกษาอื่นที่ศึกษาเกี่ยวกับเครือข่ายก็คือ  ขบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานียังมีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะการขยายฐานมวลชนที่ยังอยู่ในวงจำกัด  เนื่องจากความคิดแบบแยกขั้วที่มองว่าภาครัฐเป็นฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับชาวบ้าน ทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยง ภาครัฐในพื้นที่ เช่น ครู เจ้าหน้าที่อนามัย ข้าราชการต่างๆในพื้นที่เข้ามาเป็นแนวร่วมได้มาก และการให้ความสำคัญกับประชาชนที่เคลื่อนไหวที่มีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักทำให้ละเลยคนชั้นกลางอื่นๆที่จะมีส่วนขับเคลื่อนและเคลื่อนไหวในประเด็นปัญหาร่วมกัน
ในอีกด้านหนึ่ง งานที่ศึกษาในประเด็นเรื่องโครงการเหมืองแร่โพแทชปัจจุบัน ยังมีความสัมพันธ์อย่างมากกับเรื่องของการใช้ประโยชน์จากที่ดินในพื้นที่เพื่อประกอบกิจการเหมืองแร่ โดยที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของโครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานีเป็นพื้นที่สำหรับเกษตรกรรม ซึ่งย่อมจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการดังกล่าว งานชิ้นสำคัญที่ชี้ให้เห็นประเด็นนี้คืองานของ ชูศักดิ์ เขียวสะอาด (2550) เรื่องการคาดการณ์ผลกระทบด้านการใช้ประโยชน์ที่ดินจากความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ กรณีศึกษา : โครงการเหมืองแร่โพแทชแหล่งสมบูรณ์ (แหล่งอุดรใต้) จังหวัดอุดรธานี งานวิทยานิพนธ์ชิ้นนี้พยายามคาดการณ์และสะท้อนให้เห็นผลกระทบด้านการใช้ประโยชน์จากที่ดิน ซึ่งเก็บข้อมูลจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ โดยใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เข้ามาช่วย เพื่อวิเคราะห์ให้เห็นการใช้ที่ดินในปัจจุบันของชาวบ้านในพื้นที่รอบโครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานีและการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ในที่ดิน สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ผลของการศึกษาวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า การใช้ประโยชน์จากที่ดินของชาวบ้านในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นนาข้าวร้อยละ 90.31 โดยเป็นการปลูกข้าวเพื่อใช้ในการบริโภคในครัวเรือนเป็นหลักและเป็นอาชีพที่ทำมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่หากเกิดโครงการเหมืองแร่และดินเสื่อมคุณภาพลงไปเนื่องจากความเค็มของดินเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถเพาะปลูกได้ ที่ดินเหล่านี้ก็จะกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่าร้อยละ59.38 เนื่องจากการจะเพาะปลูกได้ต้องมีการปรับปรุงคุณภาพดินและใช้ต้นทุนในการผลิตสูง เมื่อพื้นดินทรุดตัวลงพื้นที่เหล่านี้ก็จะกลายเป็นแอ่งน้ำ หรือพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมขัง เมื่อน้ำมีคุณภาพเลวลง ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงการเพาะปลูกร้อยละ52.81 ที่สะท้อนให้เห็นว่าที่ดินเป็นปัจจัยสำคัญและสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์จากที่ดินรวมทั้งเรื่องการทรุดตัวของผิวดิน งานชิ้นนี้สามารถนำไปใช้ในการกำหนดทิศทางและมาตรการป้องกัน ติดตามผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมของโครงการและการป้องกันการเกิดการแพร่กระจายของดินเค็มที่มีการทำเหมืองแร่โพแทชที่จะส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณรอบโครงการ สิ่งที่น่าสนใจคืองานชิ้นนี้แสดงให้เห็นความสอดคล้องกับการจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดินในการวางและจัดทำผังเมืองรวมจังหวัด ตามแนวคิดที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรมของ สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดอุดรธานี (2549 : ไม่มีเลขหน้า) อธิบายไว้ว่า ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อ อนุรักษ์บริเวณที่อุดมสมบูรณ์ไว้สำหรับทำการเกษตรชั้นดีและฟื้นฟูสภาพดินในบริเวณพื้นที่เสื่อมโทรม มีการอนุรักษ์แหล่งน้ำเพื่อการเกษตรให้คงอยู่อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะที่ดินในพื้นที่โครงการเหมืองแร่โพแทชอุดรธานี ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สีเขียวเพื่อการเกษตรกรรม  ซึ่งขัดแย้งกับการศึกษาของ บริษัททีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ บจก. (2545 : 5-4–5-6)ที่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ดำเนินโครงการเหมืองแร่โพแทชว่าเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมและการทำการเกษตรมีผลผลิตค่อนข้างต่ำ รวมทั้งได้ทำการศึกษาทางธรณีวิทยาและวิศวกรรมศาสตร์เพื่อศึกษาการทรุดตัวของดินในพื้นที่โครงการฯโดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ Strees-deformation(FLAC) และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นไว้ว่า การทรุดตัวของผิวดินคาดว่าจะค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ประมาณ 0.7 เมตร ในระยะเวลา 20 ปี เป็นบริเวณกว้างและมีอัตราการทรุดตัวเท่าๆกัน โดยมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการทรุดตัวของดินจะไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเพาะปลูกแต่อย่างใด เป็นผลกระทบที่เกิดต่อเนื่องนานกว่า 5 ปี หรือตลอดระยะเวลาการทำเหมือง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมาก
                ดังนั้นงานศึกษาของชูศักดิ์ เขียวสะอาดและสำนักงานผังเมืองและโยธาธิการอุดรธานี จึงเป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่น่าสนใจในให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะการใช้ประโยชน์ของพื้นที่และการคาดการณ์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากที่ดินเมื่อมีโครงการเหมืองแร่โพแทชเกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งมีความแตกต่างจากงานศึกษาในรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมของบริษัทข้ามชาติ ที่มองว่าการดำเนินการเหมืองแร่โพแทชจะไม่ส่งผลต่อการใช้ที่ดิน ตลอดจนแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรกรรมรวมทั้งการพยายามบอกว่าพื้นที่บริเวณโครงการเป็นที่รกร้างว่างเปล่าไม่ใช่พื้นที่เกษตรกรรมและไม่ใช่พื้นที่ที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์ เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับสภาพพื้นที่จริงและพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น โดยที่ผลการศึกษาวิจัยของงานชิ้นนี้ก็ยังขัดแย้งกับงานศึกษาของกลุ่มอื่นๆที่ศึกษาในประเด็นเดียวกัน
นอกจากนี้มีงานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการจัดการเกลือในเชิงธุรกิจ เพื่อสร้างรายได้ในทางเศรษฐกิจ รวมถึงปัญหาเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการผลิตเกลือ อาทิเช่น การจัดการธุรกิจเกลือสินเธาว์ในอำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โดย ดำรง ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม (2545) ได้ศึกษากระบวนการผลิตและปัจจัยที่มีผลต่อการประกอบธุรกิจเกลือ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขของพื้นที่ที่ทางราชการอนุญาต การมีแรงงานมากเพียงพอในการผลิต รวมทั้งการมีปัญหาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมน้อยที่ไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งเป็นผลทำให้เกิดการผลิตเกลือเป็นจำนวนมาก ผู้ศึกษาเห็นว่าควรยกเลิกกฎหมายที่ให้ผลิตเกลือแบบต้มแบบตากได้ครึ่งปีให้ผลิตได้ตลอดทั้งปี เช่นเดียวกับ การศึกษาเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตเกลือแบบต้มและตากที่บ้านกุดเรือคำและบ้านจำปาดง อำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร  โดย ชัชวาลย์ น้อยคำยาง (2545) ศึกษาการผลิตเกลือแบบต้มและตากเปรียบเทียบกัน พบว่าการผลิตเกลือแบบต้มและตากมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเหมือนกัน แต่เนื่องจากผู้ประกอบการในพื้นที่มีการจัดการและชดเชยผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมทำให้ลดความขัดแย้งในชุมชนลงได้ รวมทั้งผู้ศึกษาเห็นว่าควรมีการส่งเสริมการบรรจุหีบห่อและเติมสารไอโอดีนเพื่อเป็นสินค้าสร้างรายได้และควรผลักดันให้เป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรืองานศึกษาเรื่องปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณการผลิตเกลือสินเธาว์ กรณีศึกษาอำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร โดย รติสมัย พิมัยสถาน (2546) จากการศึกษาพบว่า พื้นที่การผลิต จำนวนแรงงานและปริมาณเชื้อเพลิงมีผลต่อการประกอบอาชีพการผลิตเกลือสินเธาว์ รวมถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ดินเค็ม น้ำเค็มและความขัดแย้งกับชุมชนใกล้เคียง นอกจากนี้ยังมี เอกสารการวิจัยการสำรวจและข้อมูลเกี่ยวกับเกลือเรื่องเกลือสินเธาว์ โดย กลุ่มสามประสานการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (2547) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตเกลือสินเธาว์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การผลิตและการใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่างๆ และให้ข้อเสนอในทางนโยบายว่า เกลือซึ่งเป็นผลพลอยได้จากเหมืองแร่โพแทช ซึ่งเป็นเกลือบริสุทธิ์ที่สามารถนำไปใช้ได้ดีในอุตสาหกรรม และทำให้ประเทศไทยผลิตเกลือได้จำนวนมหาศาลที่จะทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว
รวมทั้งบทความ นาเกลือโบราณ วิถีชีวิตลูกอีสานที่กำลังหายไป โดย มยุรี อัครบาล (2547) ที่สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของการผลิตเกลือแบบโบราณของภาคอีสาน ที่กำลังได้รับผลกระทบจากการพัฒนาธุรกิจแบบอุตสาหกรรม การสร้างฝายอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ผลิตเกลือ ราคาเกลือที่ตกต่ำและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการผลิตเกลือสินเธาว์ ในช่วงนี้การศึกษาเกี่ยวกับเกลือในภาคอีสานจึงเน้นไปที่การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติใต้ดินอันมีค่านี้ เนื่องจากการผลิตเกลือในจังหวัดต่างๆของภาคอีสานกำลังมีความสำคัญทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ พร้อมกับปัญหาเรื่องของผลกระทบและความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นตามมา ทำให้ต้องมีการศึกษาแนวทางการจัดการเกลือแบบยั่งยืน    ทั้งในด้านผลผลิตในทางเศรษฐกิจและการป้องกันผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมให้มีความสอดคล้องกัน รวมทั้งการค้นพบแร่โพแทชชนิดที่ดีที่สุดในโลกในพื้นที่ ทำให้เรื่องของเกลือหินและโพแทชได้รับความสนใจอย่างมาก รวมถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของอุตสาหกรรมเกลือขนาดใหญ่ของกลุ่มทุนต่างชาติในจังหวัดอุดรธานี ที่กำลังมีการเคลื่อนไหวคัดค้านกลุ่มทุนข้ามชาติของชาวบ้านในพื้นที่และนักพัฒนาเอกชนที่กำลังรุนแรงในปัจจุบัน
ในขณะที่งานวิจัยโดยนักวิชาการ นักพัฒนาเอกชน และนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ให้ความสำคัญกับเรื่องของงานศึกษาการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การต่อสู้ช่วงชิงอำนาจและความหมายในการเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ การต่อสู้เคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆ แต่ขณะเดียวกันกลุ่มทุนข้ามในพื้นที่ก็พยายามสร้างมวลชนและสร้างความรู้เกี่ยวกับแร่โพแทชในพื้นที่ผ่านพื้นที่อินเตอร์เน็ต จดหมายข่าว รวมทั้งจัดประชุมสัมมนาให้ความรู้กับผู้นำชุมชน หน่วยงานราชการ สถานศึกษาและโรงพยาบาล โดยเฉพาะประเด็นในเรื่องของการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่กลุ่มทุนข้ามชาติจะต้องเริ่มจัดทำใหม่ รวมถึงรายงานผลกระทบทางด้านสุขภาพของประชาชนในพื้นที่โครงการในช่วงปีพ.ศ. 2553-2554 จึงได้จัดทำเอกสารเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้น เช่นการปนเปื้อนต่อน้ำผิวดิน ใต้ดิน จากของเสียในกระบวนการผลิต ลานกองเกลือ น้ำเกลือจากการแต่งแร่ เป็นต้น และการจัดทำรายงานเพื่อประกอบการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่แจกจ่ายประชาชนและหน่วยงานต่างๆ เช่น เอกสารเผยแพร่ข้อมูลโครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี ในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ตำบล โนนสูง หนองนาคำ หนองไผ่ อำเภอเมือง ตำบลห้วยสามพาด ตำบลนาม่วง กิ่งอำเภอประจักษ์ จังหวัดอุดรธานี ของบริษัทเอเชียแปซิฟิก โปแตช คอร์เปอร์เรชั่น จำกัดและบริษัททีมคอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ เมเนจเม้นท์ จำกัด (2553) รวมทั้งเอกสารสรุปผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในขั้นตอนการประเมินและจัดทำรายงานกาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โครงการเหมืองแร่โพแทช อุดรธานี ระหว่างวันที่23-28 มิถุนายน 2554 ในพื้นที่5ตำบล ในเขตอำเภอเมือง และอำเภอประจักษ์ศิลปาคม โดยในเนื้อหาของเอกสารจะเป็นคำถามเกี่ยวกับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่โพแทช ผลประโยชน์ที่ชุมชนได้รับและการชี้แจงตอบในประเด็นต่างๆของบริษัท ประเด็นที่น่าสนใจคือข้อเสนอของชาวบ้าน ที่เรียกร้องต่อบริษัท เช่น การเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ได้รับสิทธิ์ทำงานในเหมืองก่อนคนข้าวนอก ความต้องการให้บริษัทจัดตั้งกองทุนสำหรับการศึกษาในพื้นที่  การจัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมอาชีพ  การทำประกันสุขภาพให้ประชาชนและการจัดให้มีสถานที่บริการด้านสุขภาพอยู่บริเวณใกล้โครงการเพื่ออำนวยประโยชน์ให้กับหมู่บ้านรอบพื้นที่โครงการ รวมทั้งการทำข้อตกลงร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ในปัญหาต่างๆที่ชาวบ้านกังวล ซึ่งบริษัทจะรับไปพิจารณา สิ่งที่น่าสนใจคือในเอกสารฉบับนี้ขาดความชัดเจนในด้านจำนวนคนที่เข้าร่วมประชุม สถานภาพของผู้เข้าร่วมเป็นใครบ้าง โดยเฉพาะการเปิดเวทีของตำบลห้วยสามพาด ในรายงานระบุว่าสถานที่คือสำนกงานประชาสัมพันธ์ของบริษัทเอพีพีซี ไม่ได้จัดในพื้นที่เหมือนตำบลอื่นๆ แต่ข้อมูลดังกล่าวก็กลายเป็นสิ่งที่สะท้อนความคิดเห็นของคนในพื้นที่ทั้งที่ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ทั้งหมด เป็นข้อมูลที่บริษัทนำไปใช้ในการขอประทานบัตรเพื่อทำเหมืองแร่และสร้างความรู้เกี่ยวกับเหมืองแร่โพแทชโดยเน้นในประเด็นของเศรษฐกิจและผลประโยชน์มหาศาลที่จะเกิดกับทุกคนในประเทศไทย
จากงานศึกษาเรื่องเกลือและโพแทชข้างต้น พบว่าเรื่องของเกลือและโพแทชถูกวางบนฐานคิดในเรื่องของทรัพยากรที่นำไปสู่การสร้างความรู้เกี่ยวกับเกลือและโพแทช ที่สัมพันธ์กับเรื่องทางภูมิศาสตร์ (Geography) ประวัติศาสตร์ (History) เศรษฐศาสตร์ (Economy) สังคมวัฒนธรรม (Salt and Socio-Culture) การเมือง (Political) และสิ่งแวดล้อม (Environment) ที่ทำให้ความรู้เรื่องเกลือและโพแทชถูกอธิบายในแง่มุมต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับความรู้เรื่องการจัดการทรัพยากรเพื่อการพัฒนาประเทศ ผู้ศึกษาพบข้อสังเกตที่น่าสนใจอยู่หลายประการ ภายใต้ข้อถกเถียงต่างๆที่สร้างขึ้นมาเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเรื่องเกลือและโพแทช ไม่ว่าจะเป็นประเด็นหลักในทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม การจัดการทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการเมืองซึ่งเป็นเรื่องการจัดการและนโยบาย ซึ่งประเด็นเหล่านี้ไม่ได้แยกขาดออกจากกันอย่างเด็ดขาดแต่มันยังมีการเชื่อมประสานกันอยู่ภายใต้มโนทัศน์และความคิดเกี่ยวกับเกลือและโพแทชในฐานะของความเป็น       ทรัพยากร ซึ่งเป็นวาทกรรมหลักในการศึกษาวิเคราะห์ของแต่ละบุคคลและองค์กรทั้งภาคราชการ   และภาคเอกชนที่พูดและเขียนเกี่ยวกับเรื่องเกลือและโพแทช ภายใต้แนวคิดอื่นๆที่ประกอบกันทั้งทางภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและการเมือง ซึ่งสร้างความรู้และสร้างความหมายของเกลือและโพแทชในรูปแบบต่างๆ ทั้งวัตถุในทางเศรษฐกิจ ที่ผูกพันกับเรื่องของตลาด วิธีการผลิตและราคาของเกลือและโพแทชในตลาด  ในทางประวัติศาสตร์ ที่พูดถึงความสัมพันธ์ทางโบราณคดี ในเรื่องของการตั้งถิ่นฐานของชุมชน วิถีชีวิตและการผลิตเกลือในอดีต ในทางภูมิศาสตร์ที่สัมพันธ์กับพื้นที่ของแหล่งแร่ ปริมาณแร่สำรอง ความคุ้มทุนต่อการลงทุน ประเภทชนิดของแร่ ในทางสังคมและวัฒนธรรม เกลือสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของคน วัฒนธรรมปลาแดก วัฒนธรรมอาหาร การแลกเปลี่ยนการพึ่งพาระหว่างกัน หรือพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับเกลือ รวมทั้งในทางการเมือง เกลือและโพแทช จะสัมพันธ์กับเรื่องของนโยบาย การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เรื่องของกฎหมาย และเรื่องของอำนาจในการต่อสู้แย่งชิงทรัพยากร  เป็นต้น
ดังนั้นประเด็นของการศึกษาและวิจัยได้สร้างนัยของเกลือและโพแทช ในมุมมองที่ค่อนข้างจะแยกส่วนมากกว่าจะเชื่อมโยงประสานกันเป็นแบบภาพรวม เมื่อเราอ่านงานที่เกี่ยวกับเกลือและโพแทชในทางเศรษฐกิจ เราก็จะมองเห็นความสัมพันธ์ของมันในทางเศรษฐกิจ เป็นวัตถุที่มีคุณค่ามีราคา แต่เราไม่สามารถจะมองเห็นนัยอื่นๆไม่ถูกพูดถึง เช่น เรื่องปัญหาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ความขัดแย้งทางสังคม และการศึกษาประเด็นเรื่องเกลือและโพแทชที่เน้นให้เห็นพัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงจากการผลิตแบบพื้นบ้านไปสู่อุตสาหกรรม ทำให้ดูราวกับว่าการจัดการเรื่องของเกลือจะต้องมุ่งไปสู่การผลิตในรูปแบบเชิงพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม ทำให้สิ่งที่เรียกว่าการผลิตเกลือสินเธาว์แบบพื้นบ้าน กลายเป็นสิ่งที่ต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง เป็นสิ่งที่สร้างรายได้และควรพัฒนาไปสู่ระบบเศรษฐกิจในเชิงพาณิชย์ ซึ่งแตกต่างจากพื้นที่ ที่ผู้ศึกษาได้ลงไปศึกษา บริเวณลุ่มน้ำหนองหาน ที่ไม่ได้ผลิตเพื่อการค้าแต่ผลิตเพื่อการบริโภคในครัวเรือนเป็นสำคัญ และมีข้อจำกัดที่น่าสนใจมากมายในการไม่ทำการผลิตเพื่อการค้าขายเช่น การขาดแรงงาน และวัตถุดิบในการต้ม  เป็นต้น            ในขณะเดียวกัน การอธิบายแบบภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา วิทยาศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ทำให้มิติในการอธิบายผูกขาดอยู่ที่ตัวของเกลือในแง่ของคุณสมบัติ  แหล่งกำเนิด ปริมาณความหนาของแร่ ราคาแร่ มูลค่าในตลาดโลก มากกว่าเรื่องของตัวคนที่สัมพันธ์กับการจัดการเชิงพื้นที่ที่มีโลกทัศน์ ความคิดต่อเรื่องของเกลือและโพแทช ผ่านวัฒนธรรม วิถีชีวิตประจำวัน ผ่านสิ่งที่ถูกกล่าวถึง ไม่ว่าจะเป็นนิทานปรัมปราท้องถิ่น เช่น ตำนานผาแดง นางไอ่  ที่ชาวบ้านเชื่อมโยงคำอธิบายถึงหายนะกับความไม่ต้องการที่จะให้มีเหมืองแร่ในพื้นที่กับไม่เคยถูกพูดถึงร่วมกับประเด็นหลักอื่นๆเลย เพราะความเชื่อชุดนี้เป็นเหมือนจารีต  เป็นกฎเกณฑ์ที่ทำให้คนในชุมชนเข้าเคารพ พึ่งพาธรรมชาติอย่างสมดุล และหวาดกลัวหายนะที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือทำลายธรรมชาติของพวกเขา ซึ่งตรงกันข้ามกับแนวความคิดในทางวิทยาศาสตร์     ที่เชื่อในเรื่องเหตุผล การควบคุมและจัดการกับธรรมชาติ รวมถึงสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ไว้ภายใต้ความไม่มีเหตุผล ความรู้ของท้องถิ่น จึงไม่สามารถปะทะกับความรู้หลักที่ถูกสร้างขึ้น ภายใต้ความเป็นไปได้ของการอธิบายหรือการพูดถึงเกลือและโพแทชที่สร้างความรู้และความจริง รวมถึงความถูกต้องในสิ่งที่สามารถพูดได้ โดยผ่านเรื่องของภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์และกฎหมาย  ที่เป็นเรื่องของเหตุผลและความก้าวหน้า มากกว่าเรื่องของความหมาย ความรู้สึกและความคิดของคนที่มีต่อวัตถุที่เรียกว่าเกลือและโพแทชในพื้นที่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง