ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

The Three Ecologies ของ Guattari โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

Guattari’S The Three Ecologies ความพยามของ Guattari คือการเชื่อมโยงระบบนิเวศสามส่วน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และจิตใจ เข้ากับชุดของความสัมพันธ์ที่เขาเรียกว่า Ecosophy ซึ่งเป็นคำที่เกี่ยวข้องการเคลื่อนไหว ระบบนิเวศเชิงลึก (Deep ecology) แบบที่ไม่รู้ตัว " หรือEcosophyของ Arnold Naess ซึ่งเขาเขียนว่า “…มีเพียงการเชื่อมโยงทางจริยธรรมและการเมืองเท่านั้น ซึ่งผมเรียกว่า Ecosophy ระหว่างความสำคัญของความสัมพันธ์ทางนิเวศทั้งสามด้าน คือสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ทางสังคม และความเป็นอัตวิสัยของมนุษย์ เท่านั้นที่จะให้ความกระจ่าง เกี่ยวกับอันตรายทางนิเวศที่เผชิญหน้าเราอยู่ “ (หน้า 27) เป้าหมายในการวิพากษ์วิจารณ์ของ Guattari คือสิ่งที่เขาเรียกว่าระบบทุนนิยมโลกแบบบูรณาการ (Integrated World Capitalism หรือคำย่อว่า IWC) ซึ่งผ่านการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์หลายครั้ง ได้นำเราไปสู่ขอบเขตแห่งหายนะทางระบบนิเวศ ก่อให้เกิดความไม่สมดุลของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของโลกซึ่งดึงเอาผู้คนจำนวนมากไป รวมถึงคนรุ่นต่อไปที่จะทำให้เกิดการฟื้นตัว นั่นคือ ทุนนิยมโลกบูรณาการ ดังที่ Pindar และ Sutton (2000: 6) อธิบายไว้ว่า “…การถูกแยกออกจากท้องถิ่นและถูกทำให้เสื่อมโทรมลงจนไม่สามารถระบุถึงแหล่งที่มาของอำนาจได้” เหนือสิ่งอื่นใด IWC กลายเป็นระบบทุนนิยมขั้นที่สี่ ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การผลิตระดับปฐมภูมิ (เกษตรกรรม) ระดับทุติยภูมิ (การผลิตแบบอุตสาหกรรม) หรือระดับตติยภูมิ (การบริการ) อีกต่อไป แต่ในปัจจุบันนี้มุ่งเน้นไปที่การผลิต "เครื่องหมาย(sign) ไวยากรณ์(syntax) และ ... อัตวิสัย (subjectivity) " (หน้า 47) วิทยานิพนธ์ส่วนหนึ่งของ Guattari สะท้อนให้เห็นการขยายตัวของเทคโนโลยีการสื่อสาร และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาโทรคมนาคมของโลก ได้ก่อให้เกิดรูปแบบใหม่ของอัตวิสัยที่ไม่โต้ตอบหรือไร้การโต้ตอบ ซึ่งทำให้จิตใต้สำนึกสอดคล้องหรือเป็นไปตามกลไกตลาดโลก ดังนั้น IWC จึงก่อให้เกิดภัยคุกคามโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมในรูปแบบที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เช่น มลพิษทุกรูปแบบ การสูญพันธุ์และการสูญพันธุ์ของสายพันธุ์ต่างๆ ซึ่งส่งผลให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง เป็นต้น เวลาเราพูดถึงนิเวศวิทยา เรามักจะนึกถึง มิติทางสิ่งแวดล้อม มิติทางเศรษฐกิจ หรือมิติของระบบนิเวศทางสังคมและการเมืองเชิงปฏิบัติ สิ่งที่มักไม่ได้รับการยอมรับกันนักคือสิ่งที่ Guattari เรียกว่านิเวศวิทยาทางจิต (mental ecology ) ทั้งวิธีที่โครงสร้างอัตวิสัยของมนุษย์ที่ถูกอ้างถึง มักจะย้ำความเป็นมนุษย์ เช่นเดียวกับสายพันธุ์หายาก การต้องปฎิบัติภายใต้การดูแลเรื่องการสูญพันธุ์เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตขนิดอื่นๆ Guattari นำเสนอเกี่ยวกับขอบเขตของการทำความเข้าใจความเป็นอัตวิสัยของมนุษย์ในแง่นิเวศวิทยา ในการยอมรับ “นิเวศวิทยาของจิตใจ” นี้ เขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากนักมานุษยวิทยา Gregory Bateson โดยเฉพาะ Steps Towards the Ecology of Mind (1972) แท้จริงแล้ว Guattari (2000: 27) เริ่มต้นด้วยคำพูดจากบทความของ Bateson เรื่อง “พยาธิวิทยาของญาณวิทยา” (Pathologies of Epistemolog ) จากบทความชุดเดียวกันที่ว่า “มีระบบนิเวศของความคิดที่ไม่ดี (Bad Idea ) เช่นเดียวกับที่มีระบบนิเวศของวัชพืช” (ecology of weeds ) ความสำคัญของข้อโต้แย้งของเบตสัน คือการวิพากษ์วิจารณ์ "การเข้าใจผิดทางญาณวิทยา" (epistemological fallacy ) ที่โดดเด่นในความคิดของชาวตะวันตกว่าหน่วยของการอยู่รอดในอนุกรมวิธานทางชีวภาพคือปัจเจกบุคคล วงศ์ตระกูล ชนิดย่อย หรือชนิดพันธุ์ เมื่อหน่วยความอยู่รอดคือ “สิ่งมีชีวิตบวกสิ่งแวดล้อม”(organism plus environment) การเลือกหน่วยวิเคราะห์ที่ไม่ถูกต้องนำไปสู่ข้อผิดพลาดทางญาณวิทยาที่แพร่กระจายตัวเอง เพิ่มทวีคูณและกลายพันธุ์ ซึ่งเป็นลักษณะพื้นฐานของระบบความคิดที่หน่วยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของระบบความคิดและการจัดลำดับชั้น ซึ่ง นำไปสู่แนวคิดเรื่องสายพันธุ์ที่ขัดแย้งกัน ซึ่งก็คือ มนุษย์ต่อต้านธรรมชาติ ซึ่งเป็นมุมมองที่ได้รับการเสริมกำลังด้วยอุดมการณ์และการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย ตามคำกล่าวของเบตสัน ที่บอกว่า “ตอนนี้เราเห็นลำดับชั้นของหน่วยที่แตกต่างกัน ( hierarchy of units) เช่น ยีนในสิ่งมีชีวิต ( gene-in-organism ) สิ่งมีชีวิตในสิ่งแวดล้อม (organism-in-environment) ระบบนิเวศ( ecosystem ) ฯลฯ ในความหมายที่กว้างที่สุด นิเวศวิทยากลายเป็นการศึกษาปฏิสัมพันธ์และความอยู่รอดของความคิดและโปรแกรม (เช่น ความแตกต่าง ความซับซ้อนของความแตกต่าง ฯลฯ) ในวงจร (Bateson, 1972: 484, อ้างถึงใน Guattari, 2000; 70) ดังนั้น สำหรับ Guattari เราจะต้องนึกถึงระบบนิเวศในฐานะอาณาจักรที่รวมเอาสิ่งแวดล้อม สังคม และจิตใจ (ความซับซ้อนของ สิ่งแวดล้อม-สังคม-จิต) มุมมองเชิงนิเวศปรัชญาเกี่ยวกับอัตวิสัยของเขา โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นผลผลิตจากการฝึกฝนตามแนวทางแบบ Lacanian ของเขา หรือประสบการณ์การทำงานของเขาในฐานะที่เป็นนักจิตวิเคราะห์ และความพยายามของเขาในการปรับทิศทางลัทธิฟรอยด์ใหม่ไปสู่อนาคต (ดู Genosko, 2000: 156) ดังนั้น ในขณะที่ระบบนิเวศทั้งสามยังคงรักษากลุ่มสามกลุ่มของฟรอยด์แบบเก่า (id, ego, superego) ไว้ แต่กลับแยกตัวออกจากฟรอยด์ในการทำความเข้าใจความเป็นอัตวิสัยตามแนวคิดของเขาเรื่อง "การเดินทางข้ามผ่าน" (traversality ) ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นในปี 1964 และ Guattari พัฒนาขึ้นตลอดช่วงชีวิตของ แนวความคิดแบบ transversalist ของ Guattari ในเรื่องความเป็นอัตวิสัยนั้นหลีกหนีจากความแตกต่างระหว่างปัจเจกชนและสังคม ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นในฐานะบุคคลหรือปัจเจกบุคคล ความเป็นส่วนตัวนั้นเป็นทั้งเรื่องของส่วนรวม (collective) และการผลิตเองอัตโนมัติ( auto-producing) ดังที่ Genosko (2000: 146) อธิบายและแสดงให้เห็นแนวติดนี้อย่างชัดเจน ในแนวคิดเชิงโครงสร้างนิยม(structuralism) ของ Guattari ซึ่งเขาปฏิเสธขั้นตอนทางจิตพันธุศาสตร์(psychogenetic stage ) ของฟรอยด์ เพื่อสนับสนุนแนวคิดแบบโพลีโฟนิก(polyphonic ) เกี่ยวกับอัตวิสัยของระดับที่ดำรงอยู่ร่วมกันซึ่งทำให้เขาหันกลับมาต่อต้าน Lacanism (แม้ว่าเขาจะคงวัตถุบางส่วนไว้) และนำไปสู่ความร่วมมือทางทฤษฎีของเขากับ Deleuze และเหนือสิ่งอื่นใดคือการปฏิเสธลัทธิวิทยาศาสตร์ทุกรูปแบบ ในขณะที่ Guattari ต่อต้านลัทธิวิทยาศาสตร์ในด้านจิตวิเคราะห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมและแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์หลอกล่อ ตกแต่ง และปกคลุมด้วยแนวคิดที่ยืมมาจาก thermodynamics , topology, linguistics และ systems theor และความระมัดระวังในเทคโนวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมมลพิษทางสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกัน Guattari ก็ไม่กลัวเทคโนโลยีหรือต่อต้านเทคโนโลยี(technophobic or anti-technology) ตัวอย่างเช่น เขาเชื่อว่าอินเทอร์เน็ตมีศักยภาพในการทำให้เกิดความเป็นประชาธิปไตย …ในด้านจิตวิเคราะห์ เขาสนับสนุนให้เราละทิ้งคำอุปมาอุปไมยทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด และสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ที่มีจริยธรรมและสุนทรียภาพ โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Goerthe, Proust, Joyce, Artaud และ Beckett ซึ่งเขาอธิบายว่านักคิดเหล่านี้เป็น "นักทำแผนที่ที่ดีที่สุดที่เกี่ยวกับจิตใจ" (best cartographers of the psyche) เขาเน้นย้ำถึงการประเมินจิตวิเคราะห์อีกครั้งซึ่งก่อให้เกิดทั้งกระบวนทัศน์ทางจริยธรรมและสุนทรียศาสตร์ โดยเน้นย้ำความรู้สึกใหม่ของ "การมีส่วนร่วม" และความจริงที่ว่าในสาขาจิตเวชปฏิบัติ ทุกสิ่งจะต้องได้รับการคิดค้นใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับงานที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ความเข้าใจของGuattari ในเรื่องอัตวิสัยนั้นแตกต่างจากประเพณีของลัทธิคาร์ทีเซียน หรือนิยมแนวคิดแบบเดการ์ต ที่จะพูดถึงองค์ประกอบของอัตวิสัยมากกว่าตัวอัตวิสัย และเพื่อเน้นความแตกต่างระหว่างปัจเจกบุคคลและอัตวิสัย เขาบอกว่า “…ความเป็นอัตวิสัยไม่จำเป็นต้องผ่านตัวบุคคล ซึ่งในความเป็นจริงแล้วดูเหมือนจะเป็นเหมือน "ปลายทาง" … ความเป็นภายในสร้างตัวเองขึ้นที่ทางแยกขององค์ประกอบหลายส่วน แต่ละองค์ประกอบค่อนข้างเป็นอิสระในการเชื่อมโยงกัน และหากจำเป็น ก็อยู่ในความขัดแย้งที่เปิดกว้าง” ปล. ความคิดซับซ้อนต้องอ่านทำความเข้าใจให้มากขึ้น ในการนำไปใช้ **References** Bbatson, Gregory (1972) Steps to an Ecology of Mind. New York: Ballantine. Deleuze, Gilles & Guattari, Félix (1984) Anti-Oedipus: Capitalism and Schizophrenia I. Trans. Robert Hurley, Mark Seem & Helen R. Lane. London: The Athlone Press. Deleuze, Gilles & Guattari, Félix (1988) A Thousand Plateaus: Capitalism and Schizophrenia II. Trans. Brain Massumi. London: The Athlone Press. Deleuze, Gilles & Guattari, Félix (1994) What is Philosophy? Trans. Hugh Tomlinson & Graham Burchell. New York: Columbia University Press. Genosko, Gary (2000) The Life and work of Félix Guattari: From Transversality to Ecosophy”. In: Félix Guattari, The Three Ecologies. Trans. Ian Pindar & Paul Sutton, London & New Brunwick, NJ: The Athlone Press: 106-60. Guattari, Félix (2000) The Three Ecologies. Trans. Ian Pindar & Paul Sutton, London & New Brunwick, NJ: The Athlone Press. .

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...