วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

ตำนานผาแดงนางไอ่(2)

จนกระทั่งนางไอ่คำถึงวัยที่จะมีเหย้ามีเรือนได้พญาขอมจึงได้แจ้งข่าวให้กับบรรดาหัวเมืองต่างๆ ได้ทำบั้งไฟขึ้นมาจุดแข่งขัน บั้งไฟใครขึ้นสูงก็จะได้นางไอ่ไปครอบครอง อีกทั้งเพื่อเป็นการบูชาพญาแถนที่อยู่บนฟ้า ช่วยดลบันดาลให้ฝนตกลงมาตามฤดูกาลเพื่อให้ชาวเมืองได้ทำการเพาะปลูก และได้กำหนดให้วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 เป็นวันจัดงานบุญบั้งไฟ เพื่อให้บรรดาเจ้าชายจากเมืองต่างๆ ทำบั้งไฟเอ้ บั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน มาร่วมเฉลิมฉลอง แห่เซิ้งเพื่อความสนุกสนาน และจุดแข่งขันกันโดยเอานางไอ่เป็นเดิมพัน  ทั้งท้าวผาแดง และพังคีก็มาร่วมงานด้วย โดยท้าวผาแดงได้ทำบั้งไฟมาแข่งขันด้วย  ผลการจุดปรากฏว่าบั้งไฟของพญาขอมแตก ซึ่งเป็นลางว่าบ้านเมืองอาจเกิดภัยพิบัติ ส่วนของท้าวผาแดงไม่ขึ้น ส่วนของเจ้าเมืองเชียงเหียน ฟ้าแดดสูงยางขึ้นได้สูง บางสำนวนก็ว่าขึ้นนานถึงสามวันสามคืนจึงตกลงมา  แต่เนื่องจากทั้งคู่เป็นอาของนางไอ่จึงไม่ได้นางไอ่ไป ชาวบ้านบางคนบอกว่านางไอ่ไม่ชอบคนแก่ แต่ชอบคนหนุ่มอย่างผาแดงจึงไม่ยอมแต่งงานด้วย หลังจากสิ้นสุดการแข่งขันความรักของผาแดงและนางไอ่ก็มีมากขึ้นทั้งคู่มีความสัมพันธ์ต่อกันจนกระทั่งผาแดงเดินทางกลับเมืองตนเอง ข้างฝ่ายพังคีก็หลงรักนางไอ่มากจนทนไม่ได้ ต้องปลอมเป็นกระรอกด่อน (กระรอกเผือก)แขวนขอคำ(กระดิ่งทองคำ) มาวิ่งเล่นอยู่ตามต้นไม้ใกล้ที่ประทับของนางไอ่ เพื่อให้เห็นหน้านางไอ่  และเมื่อนางไอ่ได้เห็นกระรอกพังคีก็ใคร่อยากจะได้มาเป็นของตนเองไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด หรือจับเป็น จับตายก็ตาม นางจึงได้รับสั่งให้เรียกชายฉกรรจ์และนายพรานที่มีในเมือง  มาร่วมไล่ล่ากระรอก  ชื่อของนายพรานกลายเป็นชื่อของหมู่บ้านต่างๆ เช่นบ้านกงพราน มาจากนายกงพาน บ้านพรานงัวมาจากนายพรานชื่องัว   หรือบ้านพรานงู และพรานซ่อน[1]
การไล่ล่ากระรอกดังกล่าวเป็นที่มาของตำนานชื่อหมู่บ้านต่างๆรอบหนองหาน การไล่ล่ากระรอกเผือกเริ่มตั้งแต่ บ้านอุ่มจาน  เพราะวิ่งผ่านป่าต้นจาน(ทองกราว)  ออกจากบ้านนี้วิ่งไปบ้านโพนทอง จอมปลวกกลายเป็นทอง กระรอกวิ่งเลี้ยวไปทางอื่น เรียกว่าบ้านแชแล ชาวบ้านนายพรานที่ไล่ล่าก็เอาปืนยิงใส่กระรอก เกิดเป็นบ้านเมืองปรังเพราะเสียงปืน แต่ยิงกระรอกไม่เข้ากระรอกไม่ตาย จึงได้ชื่อว่าบ้านดอนคง ต่อจากนั้นก็เข้าไปบ้านคอนสาย เพราะนายพรานใช้หน้าไม้เล็งยิงกระรอกจนสายหน้าไม้ขาด จนต้องแบกคอนกลับไป จากนั้นก็ตามกระรอกไป โดยโยนหิน โยนพริกโยนเกลือ ปาหินใส่กระรอก กลายเป็นบ้านเมืองพรึก จนกระทั่งกระรอกเผือกมาถูกยิงตายที่บ้านพันดอน ชาวบ้านบอกว่าที่ชื่อพนดอนเพราะชาวบ้านและนายพรานวิ่งไล่กระรอกมาพันกว่าดอนแล้ว ก่อนตายกระรอกพังคี อธิษฐานขอให้เนื้อตัวเองมีมากถึง8,000 เกวียน คนทั้งเมืองกินเท่าไหร่ก็ไม่หมดสิ้น และใครที่กินก็ขอให้พบกับหายนะภัยพิบัติเป็นไปต่างๆ  จากนั้นก็นำเนื้อกระรอกมาชำแหละที่บ้านเชียงแหว โดยแจกจ่ายให้ชาวบ้านายพราน ทหาร คนในเมืองรวมถึงธิดาไอ่คำ ทั้งปิ้งย่าง ทำลาบกก้อย ต้มเลี้ยงกันรวมถึงเจ้าเมืองขอมและนางไอ่คำ ยกเว้นพวกแม่ม่ายที่ไม่มีสามีเพราะไม่ได้ช่วยทำงานจึงไม่ได้รับส่วนแบ่งหรือได้กินเนื้อกระรอก


[1] หมู่บ้านเหล่านี้อยู่ในเขตอำเภอหนองหานในปัจจุบัน คือบ้านกงพราน บ้านพรานงัว บ้านพังงู และบ้านพังซ่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สตรีนิยมกับสิ่งแวดล้อม โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Aldo Leopold(1994) เขียนหนังสือที่รวบรวมบทความของเขาชื่อ Sand Country Almanac เขาได้อธิบายถึงปรัชญาของนักสตรีนิยมสิ่งแวดล้อมว่า ผู้หญิงมีควา...